ไฟเขียวโควตานำเข้า “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” ในประเทศไม่เพียงพอ

19 ส.ค. 2568 | 04:50 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2568 | 04:50 น.

ผู้ประกอบการเฮ! บอร์ดพืชน้ำมันฯ ไฟเขียวโควตานำเข้า “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” แก้ปัญหาในประเทศไม่เพียงพอ 3 ปี พร้อมวางกลไกสร้างสมดุลยกระดับรายได้เกษตรกร

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2568

ไฟเขียวโควตานำเข้า  “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” ในประเทศไม่เพียงพอ

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพืชน้ำมันและน้ำมันพืชของประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืนที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในประเด็นสำคัญเพื่อบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชให้เกิดความสมดุล ทั้งในมิติของการสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้กับภาคอุตสาหกรรม และการดูแลเกษตรกรในประเทศ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

ไฟเขียวโควตานำเข้า  “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” ในประเทศไม่เพียงพอ

1. การเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค และกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ปี คราวละ 3 ปี (ปี 2568 – 2570)ตามพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ปริมาณ 230,559 ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 10 นอกโควตาร้อยละ 133 และความตกลงการค้าเสรี (FTA) อื่นๆ  ตามข้อผูกผันไว้ ซึ่งกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค จะต้องเป็นกากถั่วเหลืองฯ Non GMO เพื่อให้อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เช่น ซอส ซีอิ้ว เป็นต้น เพื่อลดต้นทุนและสามารถแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ต่างประเทศได้พร้อมหลักเกณฑ์การจัดสรรปริมาณการนำเข้าในโควตาภายใต้พันธกรณี WTO สำหรับสินค้ากากถั่วเหลืองฯ เพื่อสร้างความอำนวยสะดวกให้กับผู้ประกอบการ

2.การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง (ปี 2569 – 2571)เห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเป็นระยะเวลา 3 ปี ภายใต้พันธกรณี WTO โดยไม่จำกัดปริมาณและมีอัตราภาษีร้อยละ 0 เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศสูงถึง 3.6 – 4.0 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 15,000 - 16,000 ตันต่อปี มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้มีวัตถุดิบเพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมสกัดน้ำมัน อาหารสัตว์ และแปรรูปอาหาร พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้กำหนดกลไกดูแลเกษตรกรอย่างเข้มแข็ง ได้แก่การยกระดับราคาคาดการณ์ว่าราคาถั่วเหลืองในประเทศปี 2569 จะปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 1 บาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกสนับสนุนการรวบรวมซึ่งภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรวบรวมผลผลิตให้แก่สหกรณ์การเกษตร/วิสาหกิจชุมชน เพิ่มขึ้นในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันเกษตรกร

ไฟเขียวโควตานำเข้า  “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” ในประเทศไม่เพียงพอ

3.การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์ (ปี 2569 – 2571)เห็นชอบให้เปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้าน้ำมันถั่วเหลืองและแฟรกชัน, มะพร้าว, มะพร้าวฝอย, เนื้อมะพร้าวแห้ง และน้ำมันมะพร้าวและแฟรกชัน เป็นระยะเวลา 3 ปี ภายใต้พันธกรณี WTO และ FTA อื่นๆ โดยเน้นการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในประเทศ รักษาเสถียรภาพราคาไม่ให้เกิดความผันผวนจนส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว พร้อมหลักเกณฑ์การจัดสรรปริมาณการนำเข้าในโควตาภายใต้พันธกรณี WTO 

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมยังแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนร่วมบริหารจัดการ โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลประกอบด้วยภาครัฐ เกษตรกร และเอกชน เพื่อกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามมติอย่างมีประสิทธิภาพโดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อให้การบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวและผลิตภัณฑ์ เป็นไปตามนโยบาย เงื่อนไข และมาตรการนำเข้าสินค้ามะพร้าว ตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชและยังได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลเมล็ดถั่วเหลืองโดยมีเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นประธานอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการนำเข้าให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนด

ไฟเขียวโควตานำเข้า  “กากถั่วเหลือง-เมล็ดถั่วเหลือง-มะพร้าว” ในประเทศไม่เพียงพอ

“การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการกำหนดการบริหารจัดการสินค้าพืชน้ำมันและน้ำมันพืชตลอดโซ่อุปทานให้เป็นไปอย่างมีระบบ สอดคล้องกับพันธกรณีการค้าระหว่างประเทศ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีวัตถุดิบอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันก็มีกลไกที่ชัดเจนในการดูแล และยกระดับรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม” เลขาธิการ สศก. กล่าว