KEY
POINTS
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา (Reciprocal Tariff) หลังประเทศไทยได้รับแจ้งจากสหรัฐ ว่าสินค้าจากไทยที่ส่งไปจำหน่ายในสหรัฐ จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 19% โดยอัตราดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามในการเจรจาอย่างเข้มข้นของฝ่ายไทยในช่วงที่ผ่านมา
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ในฐานะโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายประจำ) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในจำนวนสินค้ากว่า 10,000 รายการที่ไทยจะยกเว้นภาษีเป็น 0% หรือปรับลดภาษีให้ต่ำลง จากสินค้านำเข้าของไทยจากสหรัฐโดยปกติจะเสียภาษีเฉลี่ย 15-20% โดยเมื่อจำแนกเป็นสินค้าเกษตร จะมีอยู่ 1,855 รายการ
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ได้เข้าร่วมในการกำหนดท่าทีภาคการเกษตรของไทย ร่วมกับนายพิชัย ชุณหวชิร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการ
ล่าสุดการเจรจายังไม่จบ โดยทั้งฝ่ายยังอยู่ระหว่างการแลกเปลี่ยนมุมมองในเรื่องมาตรฐานสินค้าและมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTMs) ซึ่งได้ให้ทั้งสองฝ่ายกลับไปทบทวนในรายละเอียด ดูแล้วคงยังไม่จบง่าย ๆ คงต้องมีการเจรจากันอีกหลายรอบกว่าจะตกลงและได้ข้อสรุปที่ตรงกัน
“ต้องยอมรับว่าแต่ละประเทศมาตรฐานไม่เหมือนกัน แล้วเราก็ต้องอธิบายรายละเอียดว่าทำไมถึงต้องกำหนดมาตรฐานแบบนี้ ฝ่ายโน้นก็ถามว่าสามารถปรับแบบนี้ได้ไหม เรียกว่าแลกความคิดเห็นไปมา อยู่ในชั้นต้นของการเจรจาอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในการเจรจาผ่านทางซูมออนไลน์ใช้ระยะเวลาไม่มาก แต่ยังไม่จบ ต้องเจรจาต่อไป”
อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้สหรัฐเก็บภาษีสินค้านำเข้าไทยเพิ่มขึ้นแล้วอีก 19% แต่ทางสหรัฐยังไม่ได้ให้อะไรที่เป็นการแลกเปลี่ยนกับไทยเลย ขณะสิ่งที่ทางสหรัฐ อยากได้คือการยกเว้นภาษีเป็น 0% ให้สินค้าจากสหรัฐที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในอาเซียนเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งในส่วนของไทยในเวลานี้มีหลายสินค้าที่เราปรับลดให้สินค้าจากสหรัฐเป็น 0% อยู่แล้วหรือปรับลดเพื่อให้แข่งขันได้ จากที่ผ่านมามีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐหลายรายการที่ไทยเก็บภาษีสูงกว่า 50% เช่น เนื้อวัว เป็นต้น
เลขาธิการ สศก. กล่าวอีกว่า ไม่ใช่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่เจรจาในรายละเอียดกับสหรัฐหลังปิดดีลภาษียังไม่แล้วเสร็จ แต่ทุกประเทศก็ยังเจรจาไม่แล้วเสร็จเช่นกัน เนื่องจากแต่ละประเทศมีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี การที่คู่ค้าทุกประเทศยอมเจรจามองว่าถือเป็นชัยชนะของสหรัฐ ซึ่งในส่วนของไทยต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่ม 19% ผล
กระทบที่ตามมาคือการขึ้นภาษีจะส่งผลทำให้แต่ละประเทศส่งออกไปสหรัฐได้ลดลงเพราะมีภาระภาษีเพิ่ม ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่เดือดร้อนก็คือผู้บริโภคในสหรัฐที่ต้องซื้อหาสินค้าในราคาที่แพงขึ้นตามต้นทุนภาษี
“สินค้าไทยโดยรวม รวมถึงสินค้าเกษตรที่ผ่านมา เราพึ่งพาตลาดส่งออกอยู่ใน 5 กลุ่ม ได้แก่ อาเซียน จีน สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งก็ได้พูดอยู่เสมอว่าเราต้องหาตลาดใหม่เพื่อลดความเสี่ยง แต่ดูเหมือนว่าภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ได้จริงจังเพียงพอ ซึ่งหากไปดูโครงสร้างเศรษฐกิจและการขยายตัวของจีดีพี ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงคือแอฟริกา ดังนั้นต้องส่งเสริมผู้ประกอบการเราออกไปหาตลาด”
สอดคล้องกับฝ่ายเกษตรประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส รายงานจากการสำรวจแบบสอบถามล่าสุดของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research พบว่าชาวอเมริกันผู้ทำงานร้อยละ 90 รู้สึกว่ามีความเครียดจากอาหารที่สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสัตว์ปีก เนื้อบด และไข่ไก่ ที่มีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ผู้ได้รับประโยชน์จากภาษีนำเข้าที่ปรับเพิ่มขึ้น คือผู้ปลูกกาแฟในมลรัฐฮาวายที่เป็นเพียงมลรัฐเดียวของประเทศที่ปลูกกาแฟเขตร้อน
อย่างไรก็ดี การขึ้นภาษีกาแฟของสหรัฐที่ก่อนหน้าเคยนำเข้าจากบราซิลและเวียดนาม ผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ จะส่งผลกระทบต่อการบริโภคกาแฟในสหรัฐที่ลดลง และหันไปหาเครื่องดื่มชูกำลังแทน นอกจากนี้ยังไปกระทบกับกำไรของสตาร์บัคส์ลดลงร้อยละ 1.4 อย่างไรก็ดี ทางสมาคมกาแฟแห่งชาติได้ขอให้โดนัลด์ ทรัมป์ทบทวนในเรื่องนี้ เนื่องจากกาแฟไม่สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในสหรัฐ โดยชาวอเมริกันดื่มกาแฟทุกวันเฉลี่ยวันละ 3 แก้วต่อคน
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,136 วันที่ 2-4 ตุลาคม พ.ศ. 2568