'เอกนิติ' วางฐานรากผ่าน 5 เสาหลัก สุญญากาศการเมืองไม่กระทบเศรษฐกิจ

15 ธ.ค. 2568 | 04:27 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2568 | 04:30 น.

'เอกนิติ' คาดปีนี้จีดีพีโต 2% วางฐานรากผ่าน 5 เสาหลัก ระบุสุญญากาศการเมืองไม่กระทบเศรษฐกิจ ลุ้นกกต.ไฟเขียว คนละครึ่งพลัส เฟส 2

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลประกาศยุบสภาฯ นั้น เป็นเรื่องที่เราทราบกันอยู่แล้ว ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เพียงแต่เร็วกว่ากำหนดการณ์เดิมเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม ในการผลักดันเศรษฐกิจ ภายใต้นโยบาย 'Quick Big Win' ผ่าน 5 เสาหลัก และ 1 ฐานรากนั้น ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 99%  จะเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ โดยคาดว่าจีดีพีไตรมาส 4 จะขยายตัว 1% และทั้งปี 68 จะเติบโตไม่ต่ำ 2% และส่งต่อไปถึงปี 2569

ขณะที่ในช่วงสุญญากาศการเมืองนั้น นโยบายที่อนุมัติไปแล้ว เช่น การแก้หนี้เฟสแรก และการสนับสนุนเอสเอ็มอี จะสามารถทำต่อเนื่องได้แน่นอนในช่วงรัฐบาลรักษาการ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือความต่อเนื่องของนโยบายใหม่บางส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้ ทั้งโครงการกระตุ้นการออม ผ่านบัญชีการออมส่วนบุคคล TISA และโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 

“ช่วงสุญญากาศการเมือง นโยบายใหม่จะไม่สามารถทำได้เลย ซึ่งโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 นั้น ตอนนี้นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เข้าไปหารือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าสามารถทำได้หรือไม่“

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ นายเอกนิติ ยังกล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 มาจาก 5 เสาหลัก ได้แก่ การบริโภคในประเทศที่ดีขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการที่กระจายเม็ดเงินไปทั่วประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส ซึ่งมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 70,000 ล้านบาท และช่วยสร้างความคึกคักให้กับธุรกิจรายย่อยตามตลาดและร้านค้าต่างๆ 

“ทีมเศรษฐกิจได้ออกแบบนโยบายที่ไม่ใช่แค่การกระตุ้นระยะสั้น แต่ต้องได้ผลยาวด้วย โดยเน้นการเพิ่มทักษะ (Reskill) ด้านการเงินและทักษะการขายของออนไลน์ให้กับพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งพบว่าผู้ที่สามารถขายของออนไลน์เป็นมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 5-600%”

นอกจากนี้ โครงการที่สำคัญคือการชุบชีวิตคนที่เป็นหนี้ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย เฟสแรกจะช่วยลดหนี้ให้กับประชาชน 2 ล้านคน ที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท ส่วนการขยายโครงการให้ครอบคลุม 3.4 ล้านรายอาจจะต้องรอในระยะต่อไป

สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีเม็ดเงินรวมที่เตรียมพร้อมจะออกประมาณ 320,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าว รวมถึงการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้คืนภาษีให้เอสเอ็มอี ไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท ภายในเดือนธันวาคม

ขณะเดียวกัน ยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) และการค้ำประกัน โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) อีกประมาณ 267,000 ล้านบาท ซึ่งจะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนเพื่ออนาคต ได้มีการอนุมัติโครงการ Fast Pass เพื่อปลดล็อกปัญหาและอุปสรรคในการลงทุน โดยมีการอนุมัติโครงการเก่าที่พร้อมลงทุนแล้วมูลค่า 470,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินลงทุนจะทยอยออกมาตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท ก่อนการยุบสภา 

ส่วนในด้านฐานรากนั้น เราได้ดูแลด้านเสถียรภาพทางการคลัง ได้มีการปรับกระบวนการทำงานและมีแผนระยะกลางที่ชัดเจน รวมถึงการใช้มาตรการนโยบายกึ่งการคลัง มาตรา 28 ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เครดิตประเทศไม่ได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของประเทศไทยลง