เกษตรฯ ชงของบกลาง 1 หมื่นล้าน ลุ้น 6 โครงการเร่งด่วน ก่อนยุบสภา

11 ธ.ค. 2568 | 17:00 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ธ.ค. 2568 | 17:13 น.

กระทรวงเกษตรฯ ชง 6 โครงการใหญ่ ของบกลางกว่า 1 หมื่นล้าน เสนอ ครม. อนุทิน ลุ้นอนุมัติก่อนยุบสภา ทั้งงบป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาพื้นที่เกษตร นมโรงเรียนค้างสต็อก ผวาลามกระทบสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ พร้อมเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอุทกภัยภาคใต้ ครัวเรือนละ 3,000 บาท

KEY

POINTS

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอของบกลางเพิ่มเติมกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในภารกิจเร่งด่วนที่งบประมาณปกติไม่เพียงพอ
  • งบประมาณดังกล่าวจะนำไปใช้ใน 6 โครงการเร่งด่วน เช่น การแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตร (PM 2.5), การจัดการสต็อกนมโรงเรียน และการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้
  • โครงการทั้งหมดต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโดยเร่งด่วนก่อนการยุบสภา เนื่องจากรัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดในการอนุมัติโครงการใหม่

ในปี 2569 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 132,918.1446 ล้านบาท และมีเงินนอกงบประมาณที่นำมาสมทบกับงบรายจ่าย จำนวน  366.3399 ล้านบาท รวมเป็นงบทั้งหมด 133,284.4845 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 7,558.1770 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.01 อย่างไรก็ดี งบดังกล่าวส่วนใหญ่ใช้สำหรับงานประจำ ไม่เพียงพอสำหรับภารกิจเร่งด่วน ทำให้กระทรวงฯ จำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบกลางเพิ่มเติม

 

เกษตรฯ ชงของบกลาง 1 หมื่นล้าน ลุ้น 6 โครงการเร่งด่วน ก่อนยุบสภา

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้กระทรวงเกษตรฯ จะได้รับงบเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับภารกิจเร่งด่วน ล่าสุดกระทรวงได้เสนอขอรับจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินการใน 6 โครงการเร่งด่วน ใช้งบรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เร็วที่สุดก่อนยุบสภา ได้แก่

1.โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2569 ใช้งบกว่า 1,869 ล้านบาท ผ่านโครงการย่อย เช่น ส่งเสริมสถาบันเกษตรกรลดการเผาและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร, เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการฝุ่นละอองทางการเกษตรในพื้นที่นิคมสหกรณ์, จัดการวัสดุทางการเกษตรเพื่อลดปัญหาหมอกควัน PM 2.5

2.โครงการแก้ไขปัญหานมกล่องค้างสต็อก ในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน วงเงิน 800 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการสต็อกนมโรงเรียน 3.โครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียนครบทุกวัน วงเงินกว่า 2,700 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโภชนาการเด็กนักเรียนต่อเนื่อง 4.โครงการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ สนับสนุนเงินช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 3,000 บาท วงเงินรวม 3,672 ล้านบาท

5.โครงการพัฒนาการเกษตรในชุมชนด้วยอาสาสมัครเกษตรและสหกรณ์ (อกส.) วงเงิน 845 ล้านบาท เพื่อเสริมความเข้มแข็งของการทำงานระดับพื้นที่ และ 6.โครงการสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการผลิตและสร้างความมั่นคงด้านอาหารในชุมชน

ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่าโครงการทั้งหมดเป็นภารกิจเร่งด่วน จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่างทันท่วงที ขณะนี้โครงการส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานงบประมาณ บางโครงการได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งงบประมาณที่เสนอขอในครั้งนี้ครอบคลุมโครงการเร่งด่วนและโครงการสำคัญเกี่ยวกับเกษตรกรโดยตรง

“เรื่องการแก้ไขปัญหาการเผาและลดฝุ่นในภาคเกษตรที่ผ่านมา กระทรวงมีงบปกติใน 19 โครงการย่อยเพียง 200 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ทำให้แก้ไขปัญหาได้ไม่ครอบคลุม ดังนั้นจำเป็นต้องขอรับงบเพิ่มเติม”

นอกจากนี้ ปัญหาโครงการนมโรงเรียนประสบสต็อกค้าง เนื่องจากสมาชิกสหกรณ์โคนมไม่สามารถระบายผลผลิตนํ้านมดิบส่วนเกินได้ จึงต้องแปรรูปเป็นนม UHT ทำให้มีสต็อกคงค้าง 113,870,387 กล่อง มูลค่า 800 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน การเกิดอุทกภัยภาคใต้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร กระทรวงจึงเสนอของบเยียวยา ครัวเรือนละ 3,000 บาท เพื่อให้เกษตรกรใช้จัดหาปัจจัยการผลิตรอบใหม่ และเสนอจ่ายไร่ละ 300 บาทสำหรับทุ่งรับนํ้าพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลกจนถึงภาคกลาง

 

อนึ่ง  เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่ การยุบสภาครั้งนี้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายในรัฐบาล เมื่อนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้าน เรียกร้องให้ยุบสภา หลังพบว่าสมาชิกพรรคภูมิใจไทยลงมติสนับสนุนเงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256/28 ที่กำหนดให้ต้องมีเสียง ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เห็นชอบ

 

ตามรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อสภาถูกยุบ คณะรัฐมนตรีถือว่าพ้นตำแหน่ง แต่ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” เพื่อให้ราชการไม่สะดุด โดยมีข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่

1. ห้ามอนุมัติโครงการใหม่ที่สร้างภาระต่อรัฐบาลชุดหน้า

2. ห้ามโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต.

3. ห้ามใช้เงินงบสำรอง เว้นแต่ กกต. อนุมัติ

4. ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐเอื้อประโยชน์ทางการเมือง

 

รัฐบาลรักษาการต้องยึดหลักความเป็นกลางและความเสมอภาคในการเลือกตั้ง ตามระเบียบ กกต. พ.ศ. 2563 แนวปฏิบัตินี้เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ ลดการใช้อำนาจช่วงรอยต่อ และรักษาความต่อเนื่องของการบริหารประเทศ.