'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69

09 ธ.ค. 2568 | 05:06 น.
อัปเดตล่าสุด :09 ธ.ค. 2568 | 06:11 น.

'ศุภจี' รมว.พาณิชย์ เดินหน้ากระชับความร่วมมือไทย–ซาอุดีอาระเบีย เร่งผลักดัน 3 แนวทางหลัก ลุยขยายตลาดข้าว อาหารสัตว์ และโอกาสลงทุนแฟรนไชส์ไทย คาดดันมูลค่าการค้าโตเท่าตัว

KEY

POINTS

  • กระทรวงพาณิชย์เยือนซาอุดีอาระเบีย วาง 3 แนวทางหลักเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็นเท่าตัวภายในปี 2569
  • ผลักดันการส่งออกแรงงานฝีมือไทยในภาคบริการ สุขภาพ และช่างฝีมือ พร้อมส่งเสริมไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าฮาลาล โดยเฉพาะไก่แปรรูป โดยจะเร่งแก้ปัญหามาตรฐานการรับรอง
  • ส่งเสริมการลงทุนร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยเน้นธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในซาอุฯ และการลงทุนด้านพลังงานของซาอุฯ ในไทย ควบคู่กับการเจรจาปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้า

ซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก และพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก นโยบายการค้าแบบเสรี ไม่มีการจำกัดโควต้าการนำเข้า และมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในระดับต่ำเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปเยือนเมืองริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย และมีผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าไทย-ซาอุฯ เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ระหว่างสองประเทศในระยะยาว

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากได้มีการหารือภาครัฐและเอกชนของซาอุดิอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายมีการใช้กลยุทธ์การทำงานที่มุ่งเน้นความรวดเร็วและผลลัพธ์ โดยเฉพาะการดำเนินการตามหลักการ "Do Fast and Do It Now" และการใช้หลัก 80/20 ซึ่งหมายถึงการลงทุนทรัพยากร 20% ของกิจกรรมที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ถึง 80% ซึ่งเป็นการจัดลำดับความสำคัญและเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์

ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทย-ซาอุดิอาระเบียยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีตัวเลขประมาณ 6,500-8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพของทั้งสองประเทศ ถือว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่สำหรับการเติบโตในอนาคต 

เปิด 3 แนวทางความร่วมมือหลัก 

จากการเจรจาระดับรัฐมนตรีได้กำหนดกรอบการทำงานหลัก 3 แนวทาง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในระยะสั้น 

1. ภาคบริการ การท่องเที่ยว และแรงงาน 

ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียกำลังดำเนินการตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 รวมถึงการขยายตัวของเมืองหลวง (Riyadh) และการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการบุคลากรและบริการจำนวนมหาศาล

โดยซาอุดีอาระเบียแสดงความต้องการบุคลากรไทยในภาคส่วนที่ต้องอาศัยฝีมือและความเชี่ยวชาญสูง ได้แก่

  • การบริการด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยว 
  • สุขภาพและความงาม และการดูแลสุขภาพ 
  • ฝีมือช่าง 

โดยการส่งออกแรงงานที่มีคุณภาพไปยังซาอุดีอาระเบียจะช่วยสร้างรายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศ และบรรเทาปัญหาการว่างงานในกลุ่มทักษะเฉพาะทางของไทย

 

'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69

2. ผลิตภัณฑ์ฮาลาล

โอกาสที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าฮาลาลที่มีมาตรฐานสูง แต่การค้ากับซาอุดีอาระเบียยังต้องการการปรับจูนในด้านกฎระเบียบและมาตรฐานการรับรองฮาลาลเพื่อให้เกิดการยอมรับร่วมกัน 

โดยสินค้าที่ต้องการเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไก่ แม้ซาอุดีอาระเบียจะมีอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ แต่ยังขาดเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการแปรรูปสินค้ามูลค่าเพิ่ม เช่น นัคเก็ต ไส้กรอก และเกี๊ยวซ่า ซึ่งเป็นช่องว่างที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปเติมเต็มได้

ทั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ได้แต่งตั้งผู้แทนระดับสูงให้ประสานงานโดยตรงกับทูตพาณิชย์ไทย เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหามาตรฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับฮาลาล

3. การปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้า 

ผู้ประกอบการไทยได้รายงานถึงความตึงตัวและข้อจำกัดของกฎระเบียบการนำเข้าบางประการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานอาหารและยาของซาอุดีอาระเบีย

ซึ่งได้มีการเจรจาหาแนวทางในการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความชัดเจนและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ลดทอนมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดซาอุฯ ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น

 

'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69

 

ยุทธศาสตร์การเจาะตลาดเชิงคุณภาพและโอกาสในการเติบโต

การเจรจาได้ระบุถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนมุมมองจากการส่งออกสินค้าปริมาณมาก ไปสู่การเน้นสินค้าคุณภาพสูง เนื่องจากตลาดซาอุฯ เป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ (Quality-Sensitive) มากกว่าความอ่อนไหวต่อราคา (Price-Sensitive)

การควบคุมคุณภาพสินค้าเกษตรและผลไม้

  • ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ผ่านมีการรายงานว่า การส่งออกผลไม้ไทยคุณภาพต่ำเข้าสู่ตลาดซาอุฯ และถูกจำหน่ายในราคาสูง ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และแบรนด์สินค้าเกษตรไทยในภาพรวม

โดยคณะผู้แทนไทยได้ร้องขอให้รัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ช่วยเหลือในการคัดกรองและแนะนำ ผู้นำเข้า ที่เชื่อถือได้ และมีชื่อเสียง ซึ่งจะทำหน้าที่นำเข้าเฉพาะสินค้าคุณภาพจากไทยเท่านั้น รัฐมนตรีฯ ได้ตอบรับทันที โดยระบุว่าจะจัดเตรียมรายชื่อผู้นำเข้าที่มีศักยภาพประมาณ 10 ราย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ประสานงานโดยตรง

 

'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69

 

การขยายตลาดข้าวไทย 

ปัจจุบันข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดซาอุฯ เพียง 1% โดยคู่แข่งหลักคือ อินเดีย ปากีสถาน และสหรัฐ

โดยรัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ได้แนะว่าการขยายส่วนแบ่งตลาดต้องอาศัยการทำการตลาดและการโปรโมทที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเน้นไปที่การสร้างความรับรู้เกี่ยวกับ ข้าวที่มีคุณภาพและข้าวเพื่อสุขภาพ (เช่น ข้าวสายพันธุ์อื่น ๆ นอกเหนือจากข้าวหอมมะลิ)

ทั้งนี้ได้มีการประสานงานกับ Lulu Hypermarket ซึ่งเป็นเครือข่ายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในภูมิภาค GCC ซึ่งมี 27 สาขาในซาอุฯ และมีกว่า 270 สาขาใน GCC เพื่อขอใช้พื้นที่ของห้างเป็นฐานในการโปรโมทและจำหน่ายข้าวไทย ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือในระดับ B2B เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด

การขยายตัวของสินค้าอาหารสัตว์

ทางบริษัท Arasco ได้มีการทดลอง มันสำปะหลังอัดเม็ด 20,000 ตัน ซึ่งผลการตอบรับที่ดี จึงได้มีการสั่งซื้อเพิ่มอีก 30,000 ตัน

โดยคาดการว่าปี 2569 จะมีการสั่งซื้อเพิ่ม 100,000 ตัน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่คาดการณ์เป็นไปได้ถึงเท่าตัว นอกจากนี้ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ใหม่ๆ ที่ใช้ผลผลิตทางการเกษตรของไทย เช่น ปลายข้าว และ หญ้าเนเปียร์ เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านโปรตีนและไฟเบอร์สำหรับปศุสัตว์ในซาอุฯ ซึ่งเป็นการยกระดับการส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าเพิ่ม

 

'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69

 

มิติการลงทุนและแนวโน้มการเติบโตของ Business Matching

การหารือไม่ได้จำกัดอยู่แค่การค้าขายสินค้า แต่ยังขยายขอบเขตไปถึงโอกาสในการลงทุนร่วมกันในฐานะพันธมิตรที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

1. โอกาสการลงทุนจากไทยในซาอุดีอาระเบีย 

โอกาสการลงทุนในซาอุฯ สอดคล้องกับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของซาอุฯ เช่น

  • เกษตรและเกษตรแปรรูป การลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบต้นทางในซาอุฯ และนำเทคโนโลยีการแปรรูปจากไทยเข้าไปใช้
  • ด้านอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
  • ด้านธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นโอกาสที่สำคัญที่สุด โดยประธานหอการค้าร่วมไทย-ซาอุฯ แสดงความต้องการอย่างชัดเจนที่จะนำแฟรนไชส์ของไทยเข้าสู่ตลาดซาอุฯ เนื่องจากไทยมีความแข็งแกร่งในธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและ SME D Bank ของไทย ที่มีแผนจะขยายแฟรนไชส์ออกสู่ตลาดต่างประเทศ

2. โอกาสการลงทุนจากซาอุดีอาระเบียในไทย 

ด้านพลังงาน ซาอุดีอาระเบียแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะเข้ามาลงทุนและร่วมมือในภาคพลังงานของประเทศไทย ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญหลักของซาอุฯ โดยคาดว่าจะมีการเจรจาเชิงลึกเพื่อหาแนวทางในการร่วมทุนในอนาคต

3. การจับคู่ธุรกิจ

กิจกรรม B2B มีการจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจโดยมีผู้ประกอบการไทยมากกว่า 20 รายเข้าร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจากธุรกิจหลากหลาย เช่น เครื่องมือแพทย์ที่ทำจากยางพารา (เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยาง), เครื่องดื่ม, สแน็ค, และอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่ ห้างสรรพสินค้า Lulu Hypermarket ในฐานะผู้นำเข้าสินค้าไทยรายสำคัญ ได้ยืนยันแผนการขยายธุรกิจมายังประเทศไทย โดยมีกำหนดการเปิดสาขาอย่างเป็นทางการที่ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนซาอุฯ ต่อตลาดไทย และเป็นช่องทางการกระจายสินค้าไทยกลับไปยังตลาดซาอุฯ

อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเติบโตแม้จะไม่มีการระบุตัวเลขเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนแต่ถ้าหากสามารถแก้ไขปัญหาด้านกฎระเบียบและมาตรฐานฮาลาลได้สำเร็จ มูลค่าการค้าในส่วนนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว

 

'ศุภจี' รุกซาอุฯ เปิด 3 แนวทางดันแรงงาน-ฮาลาล-ลงทุน โตเท่าตัวปี 69