KEY
POINTS
ซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก และพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก นโยบายการค้าแบบเสรี ไม่มีการจำกัดโควต้าการนำเข้า และมีการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในระดับต่ำเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการบริโภคในประเทศ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปเยือนเมืองริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย และมีผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ร่วมเดินทางไปด้วย ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าไทย-ซาอุฯ เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ระหว่างสองประเทศในระยะยาว
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจากได้มีการหารือภาครัฐและเอกชนของซาอุดิอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายมีการใช้กลยุทธ์การทำงานที่มุ่งเน้นความรวดเร็วและผลลัพธ์ โดยเฉพาะการดำเนินการตามหลักการ "Do Fast and Do It Now" และการใช้หลัก 80/20 ซึ่งหมายถึงการลงทุนทรัพยากร 20% ของกิจกรรมที่คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจได้ถึง 80% ซึ่งเป็นการจัดลำดับความสำคัญและเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทย-ซาอุดิอาระเบียยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีตัวเลขประมาณ 6,500-8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจและศักยภาพของทั้งสองประเทศ ถือว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่สำหรับการเติบโตในอนาคต
จากการเจรจาระดับรัฐมนตรีได้กำหนดกรอบการทำงานหลัก 3 แนวทาง เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในระยะสั้น
1. ภาคบริการ การท่องเที่ยว และแรงงาน
ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียกำลังดำเนินการตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 รวมถึงการขยายตัวของเมืองหลวง (Riyadh) และการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการบุคลากรและบริการจำนวนมหาศาล
โดยซาอุดีอาระเบียแสดงความต้องการบุคลากรไทยในภาคส่วนที่ต้องอาศัยฝีมือและความเชี่ยวชาญสูง ได้แก่
โดยการส่งออกแรงงานที่มีคุณภาพไปยังซาอุดีอาระเบียจะช่วยสร้างรายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศ และบรรเทาปัญหาการว่างงานในกลุ่มทักษะเฉพาะทางของไทย
2. ผลิตภัณฑ์ฮาลาล
โอกาสที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าฮาลาลที่มีมาตรฐานสูง แต่การค้ากับซาอุดีอาระเบียยังต้องการการปรับจูนในด้านกฎระเบียบและมาตรฐานการรับรองฮาลาลเพื่อให้เกิดการยอมรับร่วมกัน
โดยสินค้าที่ต้องการเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไก่ แม้ซาอุดีอาระเบียจะมีอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ขนาดใหญ่ แต่ยังขาดเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการแปรรูปสินค้ามูลค่าเพิ่ม เช่น นัคเก็ต ไส้กรอก และเกี๊ยวซ่า ซึ่งเป็นช่องว่างที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปเติมเต็มได้
ทั้งนี้ รัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ได้แต่งตั้งผู้แทนระดับสูงให้ประสานงานโดยตรงกับทูตพาณิชย์ไทย เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหามาตรฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับฮาลาล
3. การปรับปรุงกฎระเบียบการนำเข้า
ผู้ประกอบการไทยได้รายงานถึงความตึงตัวและข้อจำกัดของกฎระเบียบการนำเข้าบางประการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานอาหารและยาของซาอุดีอาระเบีย
ซึ่งได้มีการเจรจาหาแนวทางในการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความชัดเจนและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ลดทอนมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดซาอุฯ ได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
การเจรจาได้ระบุถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนมุมมองจากการส่งออกสินค้าปริมาณมาก ไปสู่การเน้นสินค้าคุณภาพสูง เนื่องจากตลาดซาอุฯ เป็นตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ (Quality-Sensitive) มากกว่าความอ่อนไหวต่อราคา (Price-Sensitive)
การควบคุมคุณภาพสินค้าเกษตรและผลไม้
โดยคณะผู้แทนไทยได้ร้องขอให้รัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ช่วยเหลือในการคัดกรองและแนะนำ ผู้นำเข้า ที่เชื่อถือได้ และมีชื่อเสียง ซึ่งจะทำหน้าที่นำเข้าเฉพาะสินค้าคุณภาพจากไทยเท่านั้น รัฐมนตรีฯ ได้ตอบรับทันที โดยระบุว่าจะจัดเตรียมรายชื่อผู้นำเข้าที่มีศักยภาพประมาณ 10 ราย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ประสานงานโดยตรง
การขยายตลาดข้าวไทย
ปัจจุบันข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดซาอุฯ เพียง 1% โดยคู่แข่งหลักคือ อินเดีย ปากีสถาน และสหรัฐ
โดยรัฐมนตรีฯ ซาอุฯ ได้แนะว่าการขยายส่วนแบ่งตลาดต้องอาศัยการทำการตลาดและการโปรโมทที่เข้มข้นมากขึ้น โดยเน้นไปที่การสร้างความรับรู้เกี่ยวกับ ข้าวที่มีคุณภาพและข้าวเพื่อสุขภาพ (เช่น ข้าวสายพันธุ์อื่น ๆ นอกเหนือจากข้าวหอมมะลิ)
ทั้งนี้ได้มีการประสานงานกับ Lulu Hypermarket ซึ่งเป็นเครือข่ายห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในภูมิภาค GCC ซึ่งมี 27 สาขาในซาอุฯ และมีกว่า 270 สาขาใน GCC เพื่อขอใช้พื้นที่ของห้างเป็นฐานในการโปรโมทและจำหน่ายข้าวไทย ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือในระดับ B2B เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด
การขยายตัวของสินค้าอาหารสัตว์
ทางบริษัท Arasco ได้มีการทดลอง มันสำปะหลังอัดเม็ด 20,000 ตัน ซึ่งผลการตอบรับที่ดี จึงได้มีการสั่งซื้อเพิ่มอีก 30,000 ตัน
โดยคาดการว่าปี 2569 จะมีการสั่งซื้อเพิ่ม 100,000 ตัน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่คาดการณ์เป็นไปได้ถึงเท่าตัว นอกจากนี้ได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ใหม่ๆ ที่ใช้ผลผลิตทางการเกษตรของไทย เช่น ปลายข้าว และ หญ้าเนเปียร์ เพื่อเพิ่มทางเลือกด้านโปรตีนและไฟเบอร์สำหรับปศุสัตว์ในซาอุฯ ซึ่งเป็นการยกระดับการส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าเพิ่ม
การหารือไม่ได้จำกัดอยู่แค่การค้าขายสินค้า แต่ยังขยายขอบเขตไปถึงโอกาสในการลงทุนร่วมกันในฐานะพันธมิตรที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
1. โอกาสการลงทุนจากไทยในซาอุดีอาระเบีย
โอกาสการลงทุนในซาอุฯ สอดคล้องกับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของซาอุฯ เช่น
2. โอกาสการลงทุนจากซาอุดีอาระเบียในไทย
ด้านพลังงาน ซาอุดีอาระเบียแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะเข้ามาลงทุนและร่วมมือในภาคพลังงานของประเทศไทย ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญหลักของซาอุฯ โดยคาดว่าจะมีการเจรจาเชิงลึกเพื่อหาแนวทางในการร่วมทุนในอนาคต
3. การจับคู่ธุรกิจ
กิจกรรม B2B มีการจัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจโดยมีผู้ประกอบการไทยมากกว่า 20 รายเข้าร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจากธุรกิจหลากหลาย เช่น เครื่องมือแพทย์ที่ทำจากยางพารา (เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ยาง), เครื่องดื่ม, สแน็ค, และอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่ ห้างสรรพสินค้า Lulu Hypermarket ในฐานะผู้นำเข้าสินค้าไทยรายสำคัญ ได้ยืนยันแผนการขยายธุรกิจมายังประเทศไทย โดยมีกำหนดการเปิดสาขาอย่างเป็นทางการที่ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนซาอุฯ ต่อตลาดไทย และเป็นช่องทางการกระจายสินค้าไทยกลับไปยังตลาดซาอุฯ
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเติบโตแม้จะไม่มีการระบุตัวเลขเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนแต่ถ้าหากสามารถแก้ไขปัญหาด้านกฎระเบียบและมาตรฐานฮาลาลได้สำเร็จ มูลค่าการค้าในส่วนนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่าตัว