KEY
POINTS
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโฮจิมินห์ กระทรวงพาณิชย์ รายงานถึงการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในประเทศเวียดนามว่า ในเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 มีปริมาณข้าวกว่า 52,000 ตัน ได้รับใบรับรองสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำ จากสมาคมอุตสาหกรรมข้าวเวียดนาม ทำให้ปริมาณข้าวที่ผ่านมาตรฐานสะสมจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 70,000 ตัน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาข้าวเวียดนามเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ กระบวนการปลูกข้าวดังกล่าวยังมุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้รับการตรวจสอบอย่างอิสระโดยองค์กรระหว่างประเทศ Regrow ผลการลดการปล่อยก๊าซอยู่ระหว่าง 3.14–4.63 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ ซึ่งเกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง การจัดการน้ำ การใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร กระบวนการเหล่านี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและแสดงข้อได้เปรียบของข้าวคาร์บอนต่ำ
โดยข้าวที่ผ่านการรับรองส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์คุณภาพสูง เช่น พันธุ์ OM18 พันธุ์ Dai Thom 8 พันธุ์ DS1 พันธุ์ ST25 และพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น (Hana, Akita, Koshi) ที่พัฒนาโดยบริษัท Agrimex-Kikoku
ขณะเดียวดัน การนำเข้าพันธุ์ข้าวต่างประเทศสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งเน้นของบริษัทต่อตลาดระดับพรีเมียม โดยเฉพาะตลาดที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวด ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการ TRVC ในการสร้างมาตรฐานคุณภาพและความยั่งยืนในห่วงโซ่คุณค่าของข้าว
ก่อนหน้านี้ ในเดือนเมษายน 2568 สมาคมอุตสาหกรรมข้าวเวียดนามได้ให้การรับรองข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำจำนวน 19,200 ตัน จาก 7 บริษัท โดยบริษัท Trung An ได้ส่งออกข้าวจำนวน 500 ตัน ไปยังประเทศญี่ปุ่น พร้อมจัดพิธีส่งออกครั้งแรกที่นครเกิ่นเทอ (Can Tho) เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เวียดนามนำข้าวคาร์บอนต่ำเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น ตลาดที่มีชื่อเสียงด้านความปลอดภัย การตรวจสอบย้อนกลับ และมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนถึงปัจจุบันข้าวที่ได้รับเครื่องหมายข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำ มีปริมาณรวมเกินกว่า 70,000 ตัน ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นประเทศแรกที่ผลิตและส่งออกข้าวคาร์บอนต่ำในระดับการผลิตและส่งออกขนาดใหญ่
นอกจากนี้ บริษัทที่เข้าร่วมทั้งหมดอยู่ภายใต้โครงการ TRVC ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย และองค์การพัฒนาของเนเธอร์แลนด์ โดยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมดำเนินโครงการในอานยาง และจังหวัดด่งท้าบ
อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2566–2570 มีเป้าหมายเพื่อสะสมพื้นที่ปลูกข้าว 200,000 เฮกตาร์ ครอบคลุมเกษตรกร 200,000 ครัวเรือน และลดการปล่อยก๊าซอย่างน้อย 200,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อเฮกตาร์ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ 1 ล้านเฮกตาร์ของข้าวคุณภาพสูงและปล่อยคาร์บอนต่ำในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงภายในปี 2573 โดยการสร้างแบรนด์ข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ช่วยสร้างการรับรู้ในตลาดต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานคาร์บอนต่ำ
ทั้งนี้ การที่เวียดนามสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีคุณสมบัติสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างโปร่งใส จึงสอดคล้องอย่างเป็นระบบกับกระแสการบริโภคยุคใหม่และมาตรฐานตลาดระดับพรีเมียมที่ให้ความสำคัญต่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้า
โดยเวียดนามถือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่สามารถผลิตข้าวประเภทนี้ในระดับการผลิตและส่งออกขนาดใหญ่ ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าเชิงการแข่งขันให้แก่แบรนด์ข้าวเวียดนามบนเวทีโลก
สำหรับการรับรองข้าวคาร์บอนต่ำของเวียดนามมากกว่า 70,000 ตัน ส่งผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยในแง่การแข่งขันสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวไทยที่ส่งออกไปยังตลาดพรีเมียมและตลาดที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เนื่องจากข้าวเวียดนามคาร์บอนต่ำสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ครบวงจรและตอบสนองมาตรฐานด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทำให้ผู้บริโภคและคู่ค้าในต่างประเทศมีตัวเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ด้านคุณภาพและความโปร่งใสของการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ในด้านแนวทางผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวโดยการนำเทคโนโลยีการเกษตรขั้นสูง การจัดการน้ำ การใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับและลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์ข้าวคุณภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเข้าร่วมโครงการด้านความยั่งยืนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าในตลาดพรีเมียม
สำหรับโอกาส ผู้ประกอบการไทยในเวียดนามสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคการผลิตและการตลาดเพื่อร่วมมือกับเกษตรกรเวียดนามหรือบริษัทท้องถิ่นในการพัฒนาข้าวคาร์บอนต่ำ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม การติดตามตรวจสอบย้อนกลับ และการเข้าถึงตลาดพรีเมียม จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายโอกาสการส่งออก
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยในประเทศสามารถใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดโลกที่เน้นความยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก