นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในรายการ 'ฐานทอล์ค' ถึงสถานการณ์ทางการค้าระหว่างไทย–สหรัฐที่กำลังถูกจับตาอย่างหนัก หลังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ส่งหนังสือแจ้ง 'ระงับการเจรจาภาษีไทย–สหรัฐชั่วคราว' โดย ชี้ว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากไทยไม่สามารถกลับมาเจรจาตามกรอบที่ตกลงกันไว้ได้ทันเวลาย่อมไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจภายในมีความไม่แน่นอนสูงอยู่แล้ว การหยุดชะงักของการเจรจาจะยิ่งทำให้ภาคการส่งออก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เกิดความปั่นป่วนจากความไม่ชัดเจนของมาตรการด้านภาษี
"ปัจจุบันสินค้าไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐราว 19% ซึ่งเป็นภาระสำคัญต่อผู้ประกอบการ และหากไทยสามารถชี้แจงให้เป็นที่พอใจต่อทางสหรัฐ การเจรจาน่าจะกลับมาเดินหน้าอีกครั้ง"
สำหรับกรณีที่สหรัฐให้เหตุผลในหนังสือแจ้งระงับการเจรจาว่า ต้องการให้ไทยกลับไปเจรจากับกัมพูชาก่อน หลังไทยระงับใช้ปฏิญญาร่วมไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นเอกสารที่ทั้งสองประเทศลงนามร่วมกัน โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนเป็นสักขีพยาน และมีสหรัฐรับรู้ในพิธีลงนาม
ปานปรีย์ ย้ำว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่การแทรกแซงกิจการภายใน ของไทยจากสหรัฐ หากแต่เป็นผลจากความพยายามของสหรัฐที่จะทำหน้าที่เป็น 'ตัวกลางเชื่อม' ให้ไทยและกัมพูชากลับมาเจรจา เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ผลกระทบด้านความมั่นคงในภูมิภาค
ส่วนกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณชายแดนเป็นประเด็นที่ไทยต้องเตรียมอธิบายให้ชัดเจน โดยฝ่ายไทยมีหลักฐานว่ากับระเบิดเป็นของใหม่และอยู่ในฝั่งไทย ทำให้กังวลว่ากัมพูชาไม่รักษาคำพูดตามที่เคยตกลงร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องชี้แจงต่อสหรัฐให้ครบถ้วน
กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาว่าเรื่องนี้อาจยังไม่ถึงขั้นต้องยกเลิกปฏิญญาร่วมถาวร แต่สถานการณ์ทำให้สหรัฐมองว่าไทยควรพักข้อตกลงเพื่อกลับไปจัดการข้อเท็จจริงกับกัมพูชาก่อน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไทยโพสต์เฟซบุ๊กว่า "ได้รับการยืนยันผ่านผู้นำมาเลเซียว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ผูกเรื่องความมั่นคงกับการค้า" นายปานปรีย์ชี้ว่า แม้การสื่อสารส่วนตัวจะมีประโยชน์ แต่ไม่สามารถยึดเป็นหลักการทูตได้ เพราะสุดท้ายไทยต้อง ชี้แจงอย่างเป็นทางการต่อ USTR เท่านั้น
"ไทยต้องเริ่มต้นด้วยการหารือกับเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เพื่อความกระจ่าง ก่อนเตรียมเอกสารและเหตุผลทั้งหมด บินไปชี้แจงตรงต่อ USTR เนื่องจากในมุมมองของสหรัฐ ความมั่นคงและการค้าอาจเป็นเรื่องเดียวกันไม่ใช่แยกจากกันเหมือนไทยมอง"
นายปานปรีย์อธิบายว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ภาษีเป็น 'เครื่องมือหรืออาวุธ' ในการต่อรองแทบทุกประเด็น ตั้งแต่เรื่องการค้า น้ำมัน จนถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ จึงเป็นไปได้ที่ประเด็นนี้จะถูกใช้เพื่อกดดันให้ไทยและกัมพูชากลับมาเจรจาตามที่สหรัฐต้องการ
แต่ในขณะเดียวกัน เขาย้ำว่า ตลาดสหรัฐยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของไทย และไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐ ในขณะที่ไทยเสียดุลจีน แม้จีนจะเป็นคู่ค้าอันดับสอง ทำให้การหาตลาดใหม่ไม่สามารถทดแทนตลาดสหรัฐได้
สำหรับ FTA ไทย–อียู เขามองว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องเร่ง แม้ต้องใช้เวลาอีก 1–2 ปีหลังเจรจา เพราะต้องผ่านรัฐสภาของ 27 ประเทศในสหภาพยุโรป โดยควรให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศผลักดันร่วมกัน
เขาระบุว่าไทยต้องเตรียมตัวกับเศรษฐกิจใหม่ ทั้งดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการแข่งขันด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะประเด็น Rare Earth ไทยจึงต้อง 'วางตำแหน่งตัวเองให้ชัด' และใช้ประโยชน์จาก FTA เดิม รวมถึง RCEP
แม้ตัวเลขจาก BOI จะชี้ว่าความสนใจลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 100% แต่เม็ดเงินจริงยังไม่เข้ามามาก เนื่องจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต่างชาติจับตา
ในคำถามสุดท้ายเรื่องเสถียรภาพของไทย คุณปานปรีย์ตอบชัดว่า 'การเมืองคือปัจจัยแรก' ที่นักลงทุนต่างชาติดู ก่อนพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมทิ้งท้ายว่าประเทศไทยต้องรีบสร้างความชัดเจนทางการทูต การเมือง และเศรษฐกิจ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในช่วงเวลาที่โลกเผชิญความผันผวนสูง