'ซีพีเอฟ' กำไรสุทธิพุ่ง 2.4 หมื่นล้าน 9 เดือนแรกปี 68 ลุยปรับกลยุทธ์สู้เศรษฐกิจโลก–เดินหน้าขยายลงทุนอาเซียน

13 พ.ย. 2568 | 10:57 น.
อัปเดตล่าสุด :13 พ.ย. 2568 | 11:07 น.

ซีพีเอฟเผยผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 ทำกำไรสุทธิ 24,112 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพเล็งต่อยอดการลงทุนในฟิลิปปินส์–เวียดนาม พร้อมเสริมความยั่งยืนรับมือโลกร้อนและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน

KEY

POINTS

  • ซีพีเอฟประกาศผลประกอบการ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 24,112 ล้านบาท เติบโตขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • รายได้และกำไรส่วนใหญ่มาจากกิจการในต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของยอดขายรวม โดยมีปัจจัยหนุนจากการบริหารต้นทุนและราคาวัตถุดิบที่ลดลง
  • บริษัทปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจโลก พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพสูงในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2568  อยู่ที่  24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรส่วนใหญ่มาจากกิจการในต่างประเทศ ซึ่งมียอดขาย 2 ใน 3 ของยอดขายรวม   

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัจจุบันยอดขายของบริษัทมาจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนยอดขายจากกิจการในต่างประเทศประมาณ 62% และมีการส่งออกไปต่างประเทศอีกจำนวน 5% นับรวมประมาณ 2 ใน 3 ของยอดขายที่มาจากต่างประเทศที่บริษัทมีการลงทุนและร่วมลงทุนรวม   16 ประเทศ   มีการค้าระหว่างประเทศที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำในอีกมากกว่า 50 ประเทศ                               

ทั้งนี้ ยอดขาย 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่  430,335 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลจากการแปลงค่าของงบการเงินของกิจการต่างประเทศจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปีนี้ที่ 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57% จากการบริหารด้านประสิทธิภาพการดำเนินการตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิผล รวมถึง ต้นทุนที่ลดลงจากราคากากถั่วเหลืองในหลายประเทศทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา

นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่มีปัจจัยหลากหลายประการกระทบการดำเนินงาน ทั้งเรื่องโรคระบาดในการเลี้ยงสัตว์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ  มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา  กำลังซื้อที่ยังไม่ดีขึ้นในหลายประเทศ บริษัทฯจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระมัดระวังการลงทุน พยายามปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป    

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 138,565 ล้านบาท หากไม่นับรวมผลกระทบจากการแปลงค่าเงิน รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 2 %  จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้น 16.5% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 15.4% จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และราคากากถั่วเหลืองโลกที่ลดลง อย่างไรก็ตามด้วยมาตรฐานการบันทึกบัญชีเรื่องการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ของสุกรมีผลขาดทุนที่ 1,115 ล้านบาท และส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าจำนวน 2,463 ล้านบาท ที่ลดลง 33% ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3  อยู่ที่  5,186 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน            

นายประสิทธิ์ ยังกล่าวถึง แนวโน้มของธุรกิจว่าด้วยสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต รวมถึงสถานการณ์โลกร้อนที่เห็นผลกระทบชัดเจน ณ ปัจจุบัน บริษัทจึงให้ความสำคัญเรื่องการบริหารความเสี่ยง การสร้างความสามารถในการแข่งขันในทุกประเทศ พร้อมต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม