KEY
POINTS
โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งรัฐบาลอัดฉีดงบประมาณกว่า 44,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 กำลังจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีเพิ่มขึ้นได้ราว 0.1% หรือประมาณ 22,000 ล้านบาท ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยในภาคอาหาร และธุรกิจบริการในชุมชนคาดได้รับอานิสงส์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อานิสงส์จากโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในครั้งนี้สำหรับในภาคการผลิต แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอาหาร (Food) ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตในประเทศเกือบ 100% จะทำให้ผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME หรือผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงพ่อค้าแม่ค้า ร้านอาหารในชุมชน ได้รับประโยชน์โดยตรง
แต่สำหรับกลุ่มสินค้า Non-Food เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ในครัวเรือน จะมีเพียง 50% เท่านั้นที่เป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศที่จะได้รับอานิสงส์จากโครงการ อีกครึ่งหนึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งราคาถูกกว่า จนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของอุตสาหกรรมและสินค้าไทย โดยเฉพาะในหมวดบรรจุภัณฑ์ กล่องกระดาษ และพลาสติก ส่งผลให้ภาพรวมของภาคการผลิตไทยได้รับประโยชน์สุทธิราว 70%
ขณะที่ภาคบริการ เช่น ขนส่ง นวด สปา เสริมสวย ทำเล็บ ซึ่งมีฐานอยู่ในประเทศทั้งหมด ได้รับประโยชน์แบบเต็ม 100% ทำให้เมื่อเฉลี่ยรวมกันแล้ว โครงการนี้สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80-85% ที่เหลืออีก 15-20% กลับไหลออกไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน
"โครงการนี้ยังช่วยหนุน SME รายย่อยได้มากกว่าผู้ผลิตรายใหญ่ในด้านของการกระจายรายได้ โดยเฉพาะในภาคอาหาร แต่ข้อจำกัดยังคงอยู่ในกลุ่ม Non-Food ซึ่งพึ่งพาวัตถุดิบจากจีนในสัดส่วนสูง ทำให้ไม่สามารถผลิตในประเทศได้เต็มรูปแบบ"
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.อัทธ์ ชี้อีกว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ยังพบ 2 ปัญหาหลัก ที่อาจบั่นทอนประสิทธิภาพของโครงการ ได้แก่ ปัญหาการ "รับจ้างยืนยันตัวตน" ซึ่งพบว่าประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุ หรือคนต่างจังหวัดที่ไม่สามารถยืนยันสิทธิผ่านแอปฯ หรือ ATM ได้ ต้องจ้างผู้อื่นทำให้ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 50-150 บาท ส่งผลให้บางรายถูกหักส่วนหนึ่งจากสิทธิที่ได้รับ
อีกปัญหาคือ การ "แลกสิทธิ์เป็นเงินสด" (Cashing Out) โดยพบพฤติกรรมที่ประชาชนสแกนจ่ายกับร้านค้าเพื่อนำเงินออกมาใช้โดยตรง โดยร้านค้าจะเรียกเก็บค่าหัวคิวบางส่วน วิธีนี้แม้จะช่วยให้ชาวบ้านเข้าถึงเงินสดได้รวดเร็วเพื่อนำไปใช้หนี้หรือใช้จ่ายอื่น แต่ทำให้เงินไม่ได้หมุนเวียนในระบบจริง และอาจลดทอนผลทางเศรษฐกิจของโครงการลง
ทั้งนี้ ผลจากโครงการคาดว่าจะสะท้อนต่อจีดีพีอย่างชัดเจนในไตรมาส 4 ของปี เนื่องจากโครงการสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ขณะที่ไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยยังถูกกดดันจากภาวะไม่แน่นอนทางการเมืองและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่หดตัว
รศ.ดร.อัทธ์ ยังเสนอว่า รัฐบาลในระยะถัดไปควรมุ่งสู่ “โครงการที่สร้างรายได้-สร้างงาน” แทนการแจกเงินชั่วคราวแบบเดิม เพราะพฤติกรรมครัวเรือนไทยเริ่ม “เคยชิน” กับการรอเงินสนับสนุนจากรัฐ หากไม่มีทางเลือกอื่น อาจทำให้เศรษฐกิจภาคครัวเรือนไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว