KEY
POINTS
ราคาทองคำยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง โดยได้รับแรงหนุนที่สำคัญจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคและการเงินโลก แม้ว่าราคาทองคำในประเทศ แม้ว่าราคาทองคำในประเทศจะมีการปรับตัวขึ้นลงระหว่างวันตามกลไกตลาด แต่แนวโน้มหลักยังคงสะท้อนถึงการเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่นักลงทุนทั่วโลกต่างต้องการถือครอง
รายงานข้อมูล ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2568 ราคาทองคำในประเทศตามประกาศของสมาคมค้าทองคำได้พุ่งสูงขึ้น โดยราคาขายออก ทองคำแท่ง 96.5% อยู่ที่ 64,200 บาทต่อบาททองคำ และ ทองรูปพรรณอยู่ที่ 65,000 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผันผวนและความคึกคักในตลาดทองคำไทย
ทั้งนี้สมาคมค้าทองคำประกาศปรับราคาทองคำถึง 28 ครั้ง โดยประกาศปรับครั้งแรกเพิ่มขึ้นถึง 1,150 บาท ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นและลดลงในระหว่างวันรวมสุทธิเพิ่มขึ้น 1,450 บาท
ปัจจัยหนุนมาจากการดีดตัวของราคาทองคำโลก (Gold Spot) จนทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาจากแรงกดดันหลัก 2 ด้านคือ ตลาดยังคงมีความเชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ส่งผลให้ผลตอบแทนที่แท้จริงของสินทรัพย์อื่นๆ เช่น พันธบัตรลดลง ทำให้ทองคำซึ่งไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยมีความน่าสนใจในการถือครองมากขึ้น
ขณะเดียวกันความวิตกกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงเป็นแรงกดดัน รวมถึงความไม่แน่นอนอื่น ๆ ทั่วโลก ได้กระตุ้นให้นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ที่เชื่อถือได้เพื่อรักษามูลค่า
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาทองคำโลกจะพุ่งแรง แต่การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศ (บาท/บาททองคำ) ก็มีความซับซ้อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก ค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น การแข็งค่าของเงินบาทได้เข้ามาเป็นตัวถ่วงน้ำหนัก ทำให้ราคาทองคำในประเทศไม่พุ่งสูงตามราคาทองคำโลกอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนในประเทศต้องพิจารณาประกอบการตัดสินใจเสมอ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงประเมินว่า ราคาทองคำโลกอยู่ในทิศทางขาขึ้น อย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มที่จะทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 4,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระยะถัดไป สำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำกลยุทธ์ “ย่อเก็บสะสม” หรือการเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบแนวรับสำคัญ เช่นที่ระดับ 4,115 หรือ 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงและเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด
ขณะที่ศูนย์วิจัยทองคำเผยผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำในประเทศรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 13-17 ต.ค.68 จากการสำรวจ GRC Gold Survey โดย 13 ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำที่ได้มีส่วนร่วมตอบแบบสำรวจ พบว่า
สำหรับนักลงทุนทองคำ ได้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ จำนวน 366 รายพบว่า
ทั้งนี้ ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศ สมาคมค้าทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 60,050-62,350 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 62,100 บาท ต่อบาททองคำ เพิ่มขึ้น 2,650 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 59,450 บาท)
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือ
นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มราคาทองคำยังคงเป็น “ขาขึ้น” โดยราคาทองคำเปิดตลาดบวกอีก 1,150 บาทต่อบาททองคำในวันที่ 14 ต.ค.68 ซึ่งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ที่เป็นประเด็นขึ้นมาเมื่อประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 100%
นอกจากนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาหยุดทำการ(Shutdown) ทำให้คนหันมาลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น ระยะยาวทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” หากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2ครั้ง
ปีนี้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมากๆ จนไม่น่าเชื่อ แต่คิดว่า คงจะมีสักวันที่ราคาทองคำจะปรับฐาน แล้วยังปรับขึ้นต่อในระยะยาว
ดังนั้นคนมีเงินเย็นๆ ยังลงทุนได้ แต่ถ้าเล่นระยะสั้นต้องระมัดระวัง เพราะยังไม่แน่ว่า ราคาทองคำจะปรับฐานลงมาเมื่อไหร่ ส่วนตัวมองการปรับฐานที่จะเกิดขึ้นถ้าปรับลงมา 1,000-2,000 บาทก็เยอะแล้ว และเป็นการปรับฐานในระยะสั้น จากนั้นราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นต่อ เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮงกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มราคาทองคำยังมีเป็น “ขาขึ้น” โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องฟองสบู่ สำหรับแนวเทคนิคมองแนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ประมาณ 4,160 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถ้ามีการปรับตัวลงคาดว่า แนวรับที่ 4,115 ดอลลาร์ต่อออนซ์
หากราคาจะย่อลงมาคาดว่า จะกลับไปเป็น “ขาขึ้นต่อ” แต่ถ้าหลุดแนวรับลงไปก็น่าจะอยู่ที่ 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่สิ้นปีนี้มอง Gold Spot 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับปัจจัยสนับสนุนราคาทองเชิงบวกนั้น หลักๆมาจากสหรัฐอเมริกา ทั้งภาวะซัตดาวน์ที่มีปัญหาหนี้สาธารณะค่อนข้างสูง โดยยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า พรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันจะตกลงกันได้ในร่างงบประมาณชั่วคราว อีกทั้งสกุลลเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลง ประกอบกับก่อนหน้านายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนรอบใหม่ในอัตรา 100%ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 พ.ย.68
“สัปดาห์นี้จะมีการหารือ ณ กรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้ เพื่อพยายามจะผ่อนปรนอัตราภาษีนำเข้า 100% แต่กำหนดการที่ทุกคนจับตาคือ ประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าประชุมเอเปกในเกาหลีใต้ระหว่างวันที่ 31ต.ค.-1พ.ย.68 ก่อนที่จะประกาศใช้เก็บภาษีนำเข้าดังกล่าว ซึ่งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนจึงเป็นประเด็นที่ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิด”นายธนรัชต์กล่าว
ในแง่การลงทุนนั้น ปัจจัยภาพรวมยังเป็น “ขาขึ้น” กรณีราคาทองคำปรับฐานนั้น ฮั่วเซ่งเฮงมองแนวรับไว้ที่ 63,450 บาท และ 63,250 บาท สำหรับแนวต้านที่ 64,050บาท และ 64,250บาท ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ปีนี้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาสูง ด้วยปัจจัยหลักมาจากสหรัฐอเมริกาและธนาคารกลางต่างๆ ยังเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำยังคงอยู่ในระดับที่สูง
นายณัฐวุฒิ จันทนะจุลพงศ์ นักกลยุทธ์ลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด(KTX)ระบุว่า ทองคำยังเป็นอีกสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ที่ไม่ยึดติดกับดอลลาร์(De-dollarization) เห็นได้จากธนาคารกลางทั่วโลกหันมาเพิ่มสัดส่วนการถือครองเพื่อกระจายความเสี่ยงทดแทนการถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ
และยังมีแรงหนุนจากดอกเบี้ย “ขาลง” โดย KTX ประเมินราคาเป้าหมายทองคำไว้ที่ 4,127 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS) คาดว่า ระยะของการพักฐานจะกินเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยหากเฟดปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 28 ต.ค.นี้ตามที่ตลาดคาดไว้ ดังนั้นช่วงกลางเดือนต.ค.น่าจะเห็นราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้น
มองไปข้างหน้าไตรมาสแรกของปี 2569 นั้น ถ้าปีนี้เฟดปรับลดดอกเบี้ย 2ครั้ง ปีหน้าภาพหลักของทองคำยังคงเป็น “ขาขึ้น” จากแรงลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarization) แต่ราคาทอง “ขาขึ้น”จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากราคาทองได้ปรับสูงขึ้นมากแล้ว
นายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีทีโกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด(GT Gold Bullion)กล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ต่อให้ราคาทองคำพักฐานราคาคงไม่ปรับลดลงมากนัก เพราะแนวโน้มความต้องการถือทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย บวกกระแสคนหนีดอลลาร์ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง รวมถึงการรับข่าวการปรับขึ้นของราคาทองคำ ยิ่งกระตุ้นให้คนตื่นทอง ซึ่งในแง่ของการลงทุนต้องระมัดระวังและดูความพร้อมหรือความเหมาะสมของแต่ละบุคคลด้วย
ถ้าย้อนประวัติ 10ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำ/ผลตอบแทนจากทองคำจะปรับเพิ่มเฉลี่ย 8-9%ต่อปี แต่ 2ปีนี้ผลตอบแทนเกิน 30% ยังไม่รวมที่เฟดจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนต.ค.นี้ และเดือนธ.ค. ซึ่งตลาดคาดว่า เฟดมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยทั้ง 2 รอบในปีนี้
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,140 วันที่ 16 - 18 ตุลาคม พ.ศ. 2568