กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

11 ต.ค. 2568 | 02:31 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ต.ค. 2568 | 02:32 น.

โรงสีกระทุ้งรัฐบาลอนุทิน เร่งตั้ง “นบข.” ใหม่ ลุย 3 มาตรการ ช่วยชาวนา งบกว่า 6 หมื่นล้าน รับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

KEY

POINTS

  • คณะรัฐมนตรีอนุมัติ 3 มาตรการ วงเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ปริมาณเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน
  • สมาคมโรงสีข้าวเรียกร้องให้รัฐบาลของนายอนุทินเร่งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) โดยเร็วที่สุด
  • การแต่งตั้ง นบข. มีความจำเป็นเพื่อเข้ามาบริหารจัดการและติดตามการดำเนินงานตามมาตรการที่ได้รับอนุมัติให้เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่สะดุด

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69” ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ครอบคลุมผลผลิตเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดโครงการ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 2/2568 (26 มิ.ย. 68) ที่มีรองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน โดย ครม. ได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี 3 มาตรการ ดังนี้

 

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

  • 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตนเอง 1 – 5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน โดยราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 11,500 บาทต่อตัน ข้าวเจ้า 8,000 บาทต่อตัน ข้าวปทุมฯ 9,000 บาทต่อตัน ข้าวเหนียว 10,000 บาทต่อตัน วงเงินงบประมาณจ่ายขาดไม่เกิน 9,305.06 ล้านบาท
  • 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตันวงเงินจ่ายขาด 656.25 ล้านบาท 
  • 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 โรงสีเก็บสต็อก 2 – 6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 642.00 ล้านบาท 

 

 

นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” แม้ว่าจะมีมติครม. ออกมาเร็ว แต่ในช่วงนี้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังไม่ได้ตั้ง นบข. ในการบริหารข้าวครบวงจร อาทิ  การติดตามการชดเชยดอกเบี้ย หรือ ติดตาม ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อให้สถาบัน หรือสหกรณ์ ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเร่งรัดการจ่ายงบประมาณตามมติ ครม. เพื่อให้โครงการในการรับข้าวไม่สะดุด ก็จำเป็นที่จะต้องมีคณะกรรมการขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวหอมมะลิ ในปีนี้ในจุดราคาเริ่มต้นใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และเปรียบเทียบราคาที่ นบข. ได้อนุมัติราคาข้าวเปลือกในโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ซึ่งเป็นราคาขั้นต่ำข้าวหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ก็คาดว่าราคาไม่น่าจะต่ำกว่านี้ ล่าสุดผู้ส่งออกก็ได้กำหนดราคารับซื้อมาให้กับโรงสีแล้วด้วย

อย่างไรก็ดีแนวโน้มราคาข้าวหอมมะลิ ก็คาดว่าจะดีเหมือนปีที่แล้ว ก็เพราะข้าวจากปีที่แล้ว มีการใช้มาจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะมีข้าวใหม่ออกช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ มีข้าวในสต็อกโรงสีภาคอีสานก็ไม่เหลือมากนัก เนื่องจากการส่งออกราคาข้าวดีต่อเนื่อง โดยรวมยอดข้าวหอมมะลิการส่งออก อยู่ที่ 1.16 ล้านตัน มากกว่าปีก่อน 8.41% และในขณะนี้โรงสีทุกโรงพร้อมที่จะรับซื้อในฤดูกาลใหม่

 

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

กรมการค้าต่างประเทศ รายงานสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ประจำเดือนกันยายน 2568

อินเดีย ข้อมูลการส่งออกข้าวของอินเดียจากกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียระบุว่าเดือน มกราคม - สิงหาคม 2568 อินเดียส่งออกข้าวแล้วประมาณ 14.99 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.90 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีปริมาณการส่งออกประมาณ 10.87 ล้านตัน เนื่องจากอินเดียมีปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศ และสต็อกข้าวจำนวนมากส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวสามารถแข่งขันได้ดี

นอกจากนี้ สมาคมโรงสีและผู้ส่งออกข้าวบาสมาติ (The Basmati Rice Millers and Exporters Association) คาดว่า ในปีนี้อินเดียยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้านราคาและสามารถส่งออกข้าวทุกชนิดได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศผู้นำเข้าข้าวที่พิจารณานำเข้า จากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญอย่างประเทศในภูมิภาคแอฟริกา

ในขณะเดียวกัน อินเดียเผชิญกับความท้าทายในการส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกาจาก การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) สำหรับการนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตราร้อยละ 25 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2568ส่งผลให้อินเดียต้องพิจารณาส่งออกไปยังตลาดอื่นอย่างจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต กาตาร์ โอมาน บาร์เรน และอิหร่าน เพื่อทดแทนการส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกา

  • เวียดนาม ข้อมูลการส่งออกข้าวของเวียดนามจากกรมศุลกากรเวียดนามรายงานว่า ในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 เวียดนามสามารถส่งออกข้าวได้ปริมาณ 6.37 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.58 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ 6.15 ล้านตัน โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญอย่างฟิลิปปินส์และประเทศ ในภูมิภาคแอฟริกา

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

 

นอกจากนี้ รายงานข่าวจากสำนักข่าว Lam Dong ระบุว่านายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ลงนาม ในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการฉบับที่ 160/CD-TTg เรื่องการเสริมสร้างการดำเนินภารกิจและแนวทางแก้ไข เพื่อส่งเสริมการผลิต การส่งออก และการรักษาเสถียรภาพของตลาดข้าว ซึ่งปัจจุบันเวียดนามได้มุ่งเน้นกลยุทธ์ ในการรักษาตลาดส่งออกข้าวเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น และมุ่งเน้นการแสวงหาตลาดศักยภาพสำหรับข้าวคุณภาพสูง อย่างประเทศในสหภาพยุโรปและอเมริกาเหนือ เกาหลีใต้รวมถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกข้าวไปยัง ตลาดหลักอย่างฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียว

 

  • ไทย ข้อมูลจากกรมศุลกากรในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 มีปริมาณการส่งออกข้าว 5.04 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 23.98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีปริมาณส่งออกข้าวอยู่ที่ 6.63 ล้านตัน และมีมูลค่า ส่งออกข้าว 2,987 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ 99,061 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 30.58 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 4,303 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือ 153,913 ล้านบาท) โดยปัจจัยที่มีผลทำให้การส่งออกลดลง มาจากประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้าหลักต่างมีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดแรงกดดันด้านราคาประกอบกับ ประเทศผู้นำเข้าสำคัญของโลกอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ชะลอการนำเข้าข้าว

นอกจากนี้ค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการส่งออกทำให้ราคาสินค้าส่งออกไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดโลก ปากีสถาน สำนักงานสถิติปากีสถาน (Pakistan Bureau of Statistics: PBS) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ปากีสถานมีการส่งออกข้าวประมาณ 3.29 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 19.16 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีการส่งออกประมาณ 4.07 ล้านตัน

โดยในภาพรวมปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาจาก ความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกที่ชะลอตัวลงและราคาส่งออกข้าวปากีสถานสูงกว่าอินเดียโดยเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ปากีสถานมีแนวโน้มสามารถส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกาได้มากกว่าอินเดียเนื่องจาก ผลการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) สำหรับการนำเข้าสินค้าจากปากีสถานต่ำกว่าในอัตราร้อยละ 19 นอกจากนี้ ปากีสถานได้ให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพและสร้างภาพลักษณ์ข้าวบาสมาติพรีเมียม ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดยุโรปและตะวันออกกลางมากยิ่งขึ้น

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

เดือนกันยายน 2568 พบว่าราคาส่งออกข้าวทุกชนิดของปากีสถานปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามปรับตัวลดลง และราคาส่งออกข้าวส่วนใหญ่ของไทยและอินเดียปรับตัว ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ยกเว้นข้าวในกลุ่มข้าวหอมที่มีราคาสูงขึ้น

สำหรับปีการผลิต 2568/69 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปีของไทยจะมีประมาณ 27.23 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.81 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกและ การเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับปีนี้ไม่ประสบฝนทิ้งช่วงในต้นฤดูกาลเพาะปลูกและคาดว่าไม่ประสบ อุทกภัยใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวเหมือนปีที่ผ่านมาส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตข้าวนาปีเพิ่มขึ้น

กระทุ้งรัฐบาลอนุทิน ตั้ง  ‘นบข.’ ลุย 3 มาตรการรับมือข้าวนาปีทะลัก 8.5 ล้านตัน

สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 คาดว่าจะยังคงเป็นไปตามที่ คาดการณ์ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน เนื่องจากในช่วงปลายปีเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปีของไทยออกสู่ตลาด ซึ่งจะช่วยให้ ไทยมีผลผลิตข้าวฤดูกาลหลักสำหรับส่งออกและมีราคาส่งออกที่แข่งขันได้ดีขึ้น รวมทั้งกรมการค้าต่างประเทศ ได้เร่งรัดผลักดันการส่งออกข้าวผ่านการเจรจาขายข้าวกับรัฐบาลจีน และเจรจารักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศคู่ค้า สำคัญอย่างญี่ปุ่น รวมทั้งยังมีแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดในศักยภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสและขยายช่องทาง ตลาดของข้าวไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น