KEY
POINTS
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69” ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ครอบคลุมผลผลิตเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน โดยกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำรายละเอียดโครงการ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 2/2568 (26 มิ.ย. 68) ที่มีรองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธาน โดย ครม. ได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้นกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี 3 มาตรการ ดังนี้
นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” แม้ว่าจะมีมติครม. ออกมาเร็ว แต่ในช่วงนี้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ยังไม่ได้ตั้ง นบข. ในการบริหารข้าวครบวงจร อาทิ การติดตามการชดเชยดอกเบี้ย หรือ ติดตาม ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อให้สถาบัน หรือสหกรณ์ ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเร่งรัดการจ่ายงบประมาณตามมติ ครม. เพื่อให้โครงการในการรับข้าวไม่สะดุด ก็จำเป็นที่จะต้องมีคณะกรรมการขึ้นมาโดยเร็วที่สุด
สำหรับสถานการณ์ราคาข้าวหอมมะลิ ในปีนี้ในจุดราคาเริ่มต้นใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และเปรียบเทียบราคาที่ นบข. ได้อนุมัติราคาข้าวเปลือกในโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ซึ่งเป็นราคาขั้นต่ำข้าวหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ก็คาดว่าราคาไม่น่าจะต่ำกว่านี้ ล่าสุดผู้ส่งออกก็ได้กำหนดราคารับซื้อมาให้กับโรงสีแล้วด้วย
อย่างไรก็ดีแนวโน้มราคาข้าวหอมมะลิ ก็คาดว่าจะดีเหมือนปีที่แล้ว ก็เพราะข้าวจากปีที่แล้ว มีการใช้มาจนถึงเดือนตุลาคม ซึ่งจะมีข้าวใหม่ออกช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ มีข้าวในสต็อกโรงสีภาคอีสานก็ไม่เหลือมากนัก เนื่องจากการส่งออกราคาข้าวดีต่อเนื่อง โดยรวมยอดข้าวหอมมะลิการส่งออก อยู่ที่ 1.16 ล้านตัน มากกว่าปีก่อน 8.41% และในขณะนี้โรงสีทุกโรงพร้อมที่จะรับซื้อในฤดูกาลใหม่
กรมการค้าต่างประเทศ รายงานสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ประจำเดือนกันยายน 2568
อินเดีย ข้อมูลการส่งออกข้าวของอินเดียจากกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียระบุว่าเดือน มกราคม - สิงหาคม 2568 อินเดียส่งออกข้าวแล้วประมาณ 14.99 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.90 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีปริมาณการส่งออกประมาณ 10.87 ล้านตัน เนื่องจากอินเดียมีปริมาณผลผลิตข้าวภายในประเทศ และสต็อกข้าวจำนวนมากส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวสามารถแข่งขันได้ดี
นอกจากนี้ สมาคมโรงสีและผู้ส่งออกข้าวบาสมาติ (The Basmati Rice Millers and Exporters Association) คาดว่า ในปีนี้อินเดียยังคงรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้านราคาและสามารถส่งออกข้าวทุกชนิดได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศผู้นำเข้าข้าวที่พิจารณานำเข้า จากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญอย่างประเทศในภูมิภาคแอฟริกา
ในขณะเดียวกัน อินเดียเผชิญกับความท้าทายในการส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกาจาก การจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) สำหรับการนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตราร้อยละ 25 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2568ส่งผลให้อินเดียต้องพิจารณาส่งออกไปยังตลาดอื่นอย่างจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต กาตาร์ โอมาน บาร์เรน และอิหร่าน เพื่อทดแทนการส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ รายงานข่าวจากสำนักข่าว Lam Dong ระบุว่านายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ลงนาม ในหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการฉบับที่ 160/CD-TTg เรื่องการเสริมสร้างการดำเนินภารกิจและแนวทางแก้ไข เพื่อส่งเสริมการผลิต การส่งออก และการรักษาเสถียรภาพของตลาดข้าว ซึ่งปัจจุบันเวียดนามได้มุ่งเน้นกลยุทธ์ ในการรักษาตลาดส่งออกข้าวเดิมให้แข็งแกร่งขึ้น และมุ่งเน้นการแสวงหาตลาดศักยภาพสำหรับข้าวคุณภาพสูง อย่างประเทศในสหภาพยุโรปและอเมริกาเหนือ เกาหลีใต้รวมถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกข้าวไปยัง ตลาดหลักอย่างฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียว
นอกจากนี้ค่าเงินบาท ที่แข็งค่าขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการส่งออกทำให้ราคาสินค้าส่งออกไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดโลก ปากีสถาน สำนักงานสถิติปากีสถาน (Pakistan Bureau of Statistics: PBS) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม – สิงหาคม 2568 ปากีสถานมีการส่งออกข้าวประมาณ 3.29 ล้านตัน ลดลงประมาณร้อยละ 19.16 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่มีการส่งออกประมาณ 4.07 ล้านตัน
โดยในภาพรวมปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาจาก ความต้องการนำเข้าข้าวในตลาดโลกที่ชะลอตัวลงและราคาส่งออกข้าวปากีสถานสูงกว่าอินเดียโดยเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ปากีสถานมีแนวโน้มสามารถส่งออกข้าวบาสมาติไปยังสหรัฐอเมริกาได้มากกว่าอินเดียเนื่องจาก ผลการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) สำหรับการนำเข้าสินค้าจากปากีสถานต่ำกว่าในอัตราร้อยละ 19 นอกจากนี้ ปากีสถานได้ให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพและสร้างภาพลักษณ์ข้าวบาสมาติพรีเมียม ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในตลาดยุโรปและตะวันออกกลางมากยิ่งขึ้น
เดือนกันยายน 2568 พบว่าราคาส่งออกข้าวทุกชนิดของปากีสถานปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามปรับตัวลดลง และราคาส่งออกข้าวส่วนใหญ่ของไทยและอินเดียปรับตัว ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ยกเว้นข้าวในกลุ่มข้าวหอมที่มีราคาสูงขึ้น
สำหรับปีการผลิต 2568/69 คาดว่าผลผลิตข้าวนาปีของไทยจะมีประมาณ 27.23 ล้านตันข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.81 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากคาดว่าในปีนี้จะมีปริมาณน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกและ การเจริญเติบโตของต้นข้าว ประกอบกับปีนี้ไม่ประสบฝนทิ้งช่วงในต้นฤดูกาลเพาะปลูกและคาดว่าไม่ประสบ อุทกภัยใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวเหมือนปีที่ผ่านมาส่งผลให้ภาพรวมผลผลิตข้าวนาปีเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 คาดว่าจะยังคงเป็นไปตามที่ คาดการณ์ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน เนื่องจากในช่วงปลายปีเป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปีของไทยออกสู่ตลาด ซึ่งจะช่วยให้ ไทยมีผลผลิตข้าวฤดูกาลหลักสำหรับส่งออกและมีราคาส่งออกที่แข่งขันได้ดีขึ้น รวมทั้งกรมการค้าต่างประเทศ ได้เร่งรัดผลักดันการส่งออกข้าวผ่านการเจรจาขายข้าวกับรัฐบาลจีน และเจรจารักษาส่วนแบ่งตลาดในประเทศคู่ค้า สำคัญอย่างญี่ปุ่น รวมทั้งยังมีแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดในศักยภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสและขยายช่องทาง ตลาดของข้าวไทยไปสู่ตลาดต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น