ห่วง ‘คนละครึ่ง’ สะดุด ชาวนาขาดเงินสมทบ อ้อนรัฐจ่ายเงินสดแทน

27 ก.ย. 2568 | 04:03 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ก.ย. 2568 | 04:15 น.

สมาคมชาวนาฯ เห็นด้วยโครงการ “คนละครึ่ง” รัฐบาลใหม่ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ชี้เกษตรกรจำนวนมากขาดเงินสมทบ อาจไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เรียกร้องรัฐพิจารณาจ่ายเป็นเงินสด ควบคู่เร่งพัฒนาแหล่งน้ำ พันธุ์ข้าว และลดต้นทุนการผลิตเพื่อความยั่งยืน

KEY

POINTS

  • สมาคมชาวนาฯ กังวลว่าโครงการ “คนละครึ่ง” อาจไม่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างแท้จริง เนื่องจากชาวนาจำนวนมากไม่มีเงินทุนสำหรับร่วมจ่ายสมทบ
  • เสนอให้รัฐบาลพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบความช่วยเหลือเป็นการจ่ายเงินสดโดยตรงแทน เพื่อให้เกษตรกรที่ขาดสภาพคล่องสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้
  • ชี้ว่ารูปแบบโครงการที่ต้องร่วมจ่ายเป็นอุปสรรคสำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ทำให้ไม่สามารถได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้อย่างเต็มที่

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากที่รัฐบาลใหม่จะดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” คาดจะเริ่มได้ในเดือนตุลาคม 2568 และคาดจะใช้งบประมาณราว 25,000 ล้านบาทจากงบกลางหรือหมวดงบกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเรื่องนี้ทางสมาคมเห็นด้วยถึงความจำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการดังกล่าว

อย่างไรก็ดีในส่วนตัว มองว่าเกษตรกรอยากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลรูปเงินสดมากกว่า เนื่องจากโครงการคนละครึ่ง ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันจ่ายสมทบคนละครึ่งในการจับจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ซึ่งในความเป็นจริงเกษตรกรบางส่วนไม่มีเงินไปสมทบในการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้หากรัฐบาลไม่สามารถจ่ายเป็นเงินสดผ่านบัญชี ธ.ก.ส.ได้ ก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นเพียงเสียงสะท้อนให้รับทราบถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น

“โครงการคนละครึ่ง บางคนไม่มีเงินไปสมทบหรอก สมมุติซื้อของ 200 บาท รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งประชาชนหรือเกษตรกรต้องร่วมจ่าย แต่ในข้อเท็จจริงบางคนไม่มีเงินติดตัว รวมถึงคนหาเช้ากินค่ำ ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ ดังนั้นอยากให้จ่ายเป็นเงินสดมากกว่าเพราะคนที่ไม่มีเงินไปสมทบก็มีมาก”

อย่างไรก็ดี เพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรหรือชาวนา สิ่งที่เกษตรกรต้องการจริง ๆ ในเรื่องมาตรการเร่งด่วน หรือ Quick Win ซึ่งได้เรียกร้องมาหลายรัฐบาลใน 3 เรื่อง ได้แก่

1.เรื่องแหล่งน้ำ ขอให้ภาครัฐพัฒนาแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการทำการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา และพืชเกษตรอื่น ๆ

2.เรื่องเมล็ดพันธุ์ ชาวนาต้องการพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ให้ผลผลิตสูงไม่ต่ำกว่า 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างประเทศ เพราะพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงแม้ราคาข้าวจะตกต่ำ ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้

3.เรื่องการลดต้นทุนการผลิต โดยช่วยเหลือหรือจัดหาในเรื่องปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช น้ำมัน และต้นทุนด้านอื่น ๆ ให้ถูกลง