นายกชาวนาชี้ ‘โดรนล้านลำ’ เกินความจำเป็น แนะรัฐบาลอนุทิน เร่ง ‘3 ด่วน’

18 ก.ย. 2568 | 04:48 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2568 | 05:02 น.

นายกสมาคมชาวนาฯ ชี้โดรนล้านลำ 9 แสนล้านบาท เกินความจำเป็นระบุแต่ละตำบลใช้แค่ 1-2 ลำก็เพียงพอแล้ว ยํ้ารัฐบาลควรเร่ง “3 ด่วน” สร้างแหล่งนํ้า-พัฒนาพันธุ์ข้าว-ลดต้นทุนการผลิต เพื่อให้ชาวนารอดอย่างยั่งยืน

KEY

POINTS

  • นายกสมาคมชาวนาฯ ชี้โครงการจัดหาโดรนเกษตร 1 ล้านลำ เป็นจำนวนที่เกินความจำเป็นต่อการใช้งานจริงของเกษตรกรไทย
  • มองว่าการลงทุนในโครงการดังกล่าวที่สูงกว่า 9 แสนล้านบาท เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
  • เสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 3 เรื่องด่วนเพื่อช่วยเหลือชาวนา ได้แก่ การสร้างแหล่งน้ำ, การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าว และการลดต้นทุนการผลิต

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีผู้แทนจากบริษัท Capital Trust Group Limited ได้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อยื่นเอกสารโครงการ “AgriTech Drone Digital Bond” 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่า 9 แสนล้านบาท เพื่อจัดหาโดรนเกษตรอัจฉริยะ 1 ล้านลำให้เกษตรกรไทย และมีจุดมุ่งหมายเพื่ออบรมการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อเพิ่มทักษะให้กับทหารในการทำเกษตร ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นวงกว้าง ต่อมาโฆษกกองทัพบกได้ออกมายํ้าว่า ยังไม่มีการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการแต่อย่างใด ทั้งนี้จะดำเนินการตรวจสอบข้อมูลในทุกด้านอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะพิจารณาดำเนินการใด ๆ ต่อไป

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โครงการนี้มีความเป็นไปได้ยากเพราะต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 9 แสนล้านบาท จะเอาเงินจากไหนมา และดูแล้วไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยจำเป็นต้องจัดหา หรือจำเป็นต้องมีโดรนเพื่อการเกษตร หว่านปุ๋ยหว่านยา หว่านเมล็ดพันธุ์ และเพื่อการอื่นๆ ถึง 1 ล้านลำดังกล่าว

นายกชาวนาชี้ ‘โดรนล้านลำ’ เกินความจำเป็น แนะรัฐบาลอนุทิน เร่ง ‘3 ด่วน’

“ปัจจุบันการใช้โดรนทางการเกษตรในแต่ละพื้นที่ของไทยก็ไม่ได้ใช้โดรนทุกวันตลอดเวลา อาจจะใช้ตอนหว่านข้าวครั้งหนึ่ง หว่านปุ๋ยครั้งหนึ่ง หรือฉีดยาครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะชาวนาก็ไม่ได้ทำนาพร้อมกันทั่วประเทศ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องนํ้าในการทำนา และข้อเท็จจริงในปัจจุบันแต่ละตำบลมีโดรนเพียงตัวสองตัวก็เพียงพอแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าของโดรนส่วนใหญ่ก็เป็นเกษตรกรที่ซื้อมาในราคา 6-7 แสนบาทต่อลำ มาฉีดพ่นของนาตัวเอง แล้วก็ไปรับจ้างหว่านปุ๋ย พ่นยารายอื่น ซึ่งถือเป็นอีกอาชีพที่ช่วยเพิ่มรายได้ ไม่ใช่เป็นเครื่องของบริษัทเอกชนมารับจ้างทั่วไป ซึ่งโดรนหนึ่งตัวสามารถดูแลและรับจ้างได้ทั้งตำบล”

โดยแถบเขตหนองจอกที่ตนอาศัยอยู่ก็มีโดรนเกษตรอยู่ประมาณ 4 เครื่อง สามารถดูแลและรับจ้างได้อย่างครอบคลุม คิดค่าใช้จ่ายประมาณ 60-70 บาทต่อไร่ ข้อดีคือสามารถหว่านปุ๋ย พ่นยาได้สม่ำเสมอและทั่วถึงตลอดแปลงมากกว่าใช้แรงงานคน เพราะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน อย่างไรก็ดีมองว่าไม่มีความจำเป็นที่ไทยต้องใช้โดรนเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะในการทำนามากถึง 1 ล้านลำ และต้องลงทุนมหาศาลดังกล่าว

อีกทั้งยังมองไม่ออกว่าทหารที่ปลดประจำการแล้วจะมาทำอาชีพทำนาหรือทำอาชีพเกษตรที่ต้องใช้โดรนหรือไม่ เพราะส่วนตัวมองว่าในอนาคตข้างหน้าอาชีพทำนาจะค่อย ๆ หายไปทีละน้อย จากราคาข้าวไม่ดี และส่วนใหญ่ยังเป็นนาเช่า ส่วนที่ชาวนาเป็นเจ้าของเองก็เริ่มขายที่เพราะคนรุ่นใหม่ไม่สานต่ออาชีพ

“เงินมหาศาลที่จะมาลงทุนในเรื่องโดรนเกษตร มองว่าควรนำไปลงทุนในการสร้างกำแพง หรือรั้วชายแดนที่มีข้อพิพาทกับกัมพูชาตลอดแนวติดต่อกันกว่า 800 กิโลเมตรจะได้ประโยชน์มากกว่า”

นายกสมาคมชาวนาฯ กล่าวอีกว่า เรื่องที่อยากให้ทุกรัฐบาล รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วน หรือ Quick Win ได้แก่ 1.การสร้างแหล่งนํ้าให้เกษตรกรมีนํ้าในการทำนาตลอดปี 2.เรื่องเมล็ดพันธุ์ที่ต้องมีเมล็ดพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูง อายุการเก็บเกี่ยวสั้น และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดต่างประเทศ และ 3.การช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร เช่น ปุ๋ย ยากำจัดศัตรูพืช นํ้ามัน ขอให้ช่วยกำกับดูแลให้มีต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งจะทำให้ชาวนายังคงอาชีพได้อย่างยั่งยืน