KEY
POINTS
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มหรือการ์เมนต์ เคยเป็นอุตสาหกรรมส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทย เมื่อ 30 ปีก่อน มีแรงงานในระบบมากกว่า 1 ล้านคน แต่ปัจจุบันถูกอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าแซงหน้า โดยในช่วงโควิดระบาดอุตสาหกรรมนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก และเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แต่ก็ต้องมาเผชิญกับปัจจัยลบอีกหลังสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าอีก 19%
นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย และประธานสมาคมการค้ากลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป (อียู 27 ประเทศ) เพื่อลดความเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนามที่มี FTA กับอียูแล้ว
ขณะเดียวกันเพื่อทำให้ไทยมีโอกาสขยายตลาดส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยุโรปได้เพิ่ม ลดความเสี่ยงตลาดสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของสินค้าเครื่องนุ่งห่มในปัจจุบัน ที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 19% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สินค้าเครื่องนุ่งห่มถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าเฉลี่ย 10% ส่วนอียูนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากไทยคิดภาษีเฉลี่ยที่ 10-20% (ขึ้นกับประเภทของเครื่องนุ่งห่ม)
“ปัจจุบันสหรัฐเป็นตลาดส่งออกเครื่องนุ่งห่มไทยสัดส่วนประมาณ 40% ของการส่งออกในภาพรวม อันดับ 2 คือตลาดญี่ปุ่นสัดส่วนประมาณ 18% ซึ่งยังห่างกันมาก หากเราทำ FTA กับอียูได้ก็จะได้ตลาดอีก 27 ประเทศมาชดเชยการส่งออกไปตลาดสหรัฐที่มีแนวโน้มลดลงจากอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นได้”
นอกจากนี้ขอให้รัฐบาลใหม่ชะลอการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า เนื่องจากเครื่องนุ่งห่มเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก (ปัจจุบันมีแรงงานในระบบ 6-8 แสนคน) หากปรับขึ้นอีกจะมีผลกระทบในส่วนของแรงงานเข้าใหม่ ที่ยังขาดทักษะฝีมือ และ productivity (ผลิตภาพ/ผลผลิตต่อหน่วย) ยังไม่ดี แต่รับค่าแรงสูงระดับ 400 บาทต่อวัน ทำให้นายจ้างมีต้นทุนสูง จากค่าจ้างและค่าเทรนนิ่งให้เป็นงานนายจ้างเป็นคนแบกรับ ซึ่งเวลานี้ค่าแรง และค่าวัตถุดิบเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการสัดส่วน 60-70% ของต้นทุนโดยรวม