KEY
POINTS
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมออนไลน์ แวดวงเศรษฐกิจ และเกษตรกร ต่างจับตาโครงการที่มีการกล่าวอ้างว่าจะมีการออกพันธบัตรดิจิทัลมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดหาโดรนอัจฉริยะ 1 ล้านลำในประเทศไทย
มีจุดมุ่งหมายเพื่ออบรมการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อเพิ่มทักษะให้กับทหารในการทำการเกษตร เพื่อพลิกโฉมภาคการเกษตรไทย
โครงการนี้กลายเป็นกระแสร้อนแรงทันที เนื่องจากมีการอ้างถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องของกองทัพภาคที่ 2 และชื่อของพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ความเป็นไปได้ และประโยชน์ที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้น
การเปิดตัวโครงการในลักษณะนี้ แม้จะมีความน่าสนใจในมิติของเทคโนโลยีและนวัตกรรม แต่กลับเต็มไปด้วยข้อสงสัย ทั้งในแง่การเงิน การดำเนินงาน และผลกระทบต่อเกษตรกรไทยจริง ๆ รวมถึงความเหมาะสมในการใช้ชื่อหน่วยงานรัฐเป็นเครื่องมือสร้างความน่าเชื่อถือ
รายละเอียดที่เผยแพร่จาก CTG ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะใช้วงเงิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดหาโดรนเกษตรอัจฉริยะ 1,000,000 ลำ และฝึกอบรมนักบินโดรนขั้นสูง 100,000 คน โดยโครงการระบุว่าสามารถนำเทคโนโลยีโดรนมาใช้ได้หลากหลายด้าน ทั้งการพ่นปุ๋ย/สารเคมี การเก็บเกี่ยว การเฝ้าระวังพืชและสัตว์ และแม้แต่การใช้งานเพื่อสาธารณภัย
ในเอกสาร PR ของบริษัท มีการอ้างชื่อบุคคลจากแวดวงทหารและอดีตแม่ทัพหลายคน ว่าเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของโครงการ ซึ่งรวมถึงแม่ทัพภาคที่ 2 และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ทำให้โครงการถูกตีความว่ามีความน่าเชื่อถือและเชื่อมโยงกับรัฐไทย
มิติด้านการเงินและกฎหมาย
ตัวเลขเม็ดเงิน 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(หรือกว่า 9.3 แสนล้านบาท คำนวณที่ 31 บาทต่อดอลลาร์) ผ่านการออกพันธบัตรดิจิทัล ถือว่ามากเกินกว่าการลงทุนในเทคโนโลยีเกษตรไทยที่เคยเกิดขึ้น
การออกพันธบัตรดิจิทัลในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงาน ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ถูกกฎหมายและสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้อย่างถูกต้อง ข้อมูลปัจจุบันยังไม่มีเอกสารยืนยันว่าโครงการนี้ได้รับการอนุมัติใด ๆ จากหน่วยงานรัฐ
มิติด้านเทคโนโลยีและการปฏิบัติการ
การจัดหา โดรน 1,000,000 ลำ เป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก ทั้งในแง่การผลิต การขนส่ง การฝึกอบรม การบำรุงรักษา และการวางระบบสนับสนุน ทั้งนี้การฝึกอบรมนักบินโดรน 100,000 คน ต้องใช้ทรัพยากรบุคลากร วิทยฐานะ และโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล รวมถึงการบูรณาการโดรนเข้ากับภาคการเกษตรดั้งเดิมก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาอย่างละเอียด
ความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์และสังคม
การอ้างชื่อหน่วยงานทหาร อาจทำให้เกิดคำถามเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการใช้ชื่อรัฐสร้างความน่าเชื่อถือ หากโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่กล่าวอ้าง อาจเกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชนและนักลงทุน
ผลประโยชน์ต่อเกษตรกร
หากโครงการเกิดขึ้นจริง เกษตรกรไทยอาจได้รับประโยชน์หลายด้าน เช่น
ลดต้นทุนแรงงาน : โดรนช่วยพ่นปุ๋ยและสารเคมีได้รวดเร็ว ลดแรงงานคน
เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต : ข้อมูลจากโดรนช่วยวางแผนการจัดการพืช การใช้น้ำ ปุ๋ย และสารเคมีอย่างแม่นยำ
ฝึกทักษะใหม่ : ทหาร เกษตรกรและผู้ช่วยเกษตรกรอาจได้รับโอกาสฝึกทักษะการใช้โดรนและเทคโนโลยีดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยที่มีรายได้น้อยและเข้าถึงเทคโนโลยียาก อาจไม่สามารถเข้าถึงโดรนเหล่านี้ได้จริง หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนหรือการจัดสรรเครื่องมืออย่างเป็นระบบ
ผู้ได้ประโยชน์จากโครงการ
บริษัท CTG : ได้ประโยชน์จากชื่อเสียง การประชาสัมพันธ์ และอาจสร้างรายได้จากการจำหน่ายโดรนและบริการที่เกี่ยวข้อง
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์/อดีตแม่ทัพ : มีโอกาสได้มีบทบาททางวิชาการ หรือเข้าร่วมคณะกรรมการโครงการ
ผู้ผลิตโดรน/ธุรกิจ AgriTech : หากโครงการสำเร็จ จะมีการสั่งซื้อและให้บริการบำรุงรักษาโดรนจำนวนมหาศาล
เกษตรกร/ชุมชนชายแดน : ได้เทคโนโลยีและโอกาสฝึกทักษะใหม่
หน่วยงานรัฐ : หากโครงการดำเนินได้จริง อาจช่วยเพิ่มความมั่นคงอาหารและยกระดับเกษตรกรรมในพื้นที่ชายแดน
ล่าสุด กองทัพภาคที่ 2 โดยพลโทบุญสิน พาดกลาง และกองทัพบก ได้ชี้แจงว่าโครงการดังกล่าวเป็นเพียงการรับฟังข้อมูลโครงการและรับฟังข้อเสนอที่เกี่ยวข้องจากภาคเอกชนเท่านั้น ยังไม่ได้มีการอนุมัติหรือมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้กองทัพย้ำว่า ไม่เคยเซ็นสัญญา และการอ้างชื่อหน่วยงานเพื่อสร้างความน่าเชื่อถืออาจมีเจตนาแฝง ขณะที่โพสต์และเอกสารที่เชื่อมโยงโครงการกับกองทัพภาคที่ 2 ล่าสุดได้ถูกลบออกจากเพจทางการแล้ว
อย่างไรก็ตามโครงการนี้มีแนวคิดน่าสนใจในเชิงเทคโนโลยี แต่ความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติและความโปร่งใสยังมีข้อสงสัยสูง เกษตรกรรายย่อยอาจได้รับประโยชน์น้อย หากไม่มีการวางโครงสร้างสนับสนุน ขณะที่การเชื่อมโยงโครงการกับกองทัพและบุคคลสำคัญ สร้างความน่าเชื่อถือ แต่ต้องระวังข้อกฎหมายและผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และก่อนยืนยันความสำเร็จ ต้องมีเอกสารและอนุมัติทางการเงินอย่างเป็นทางการ จาก ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย
ดังนั้นโครงการพันธบัตรดิจิทัล 30,000 ล้านดอลลาร์และโดรนเกษตร 100,000 ลำ แม้จะถูกนำเสนอเป็นโครงการเปลี่ยนโฉมเกษตรไทย แต่เมื่อพิจารณาเชิงลึก พบความเสี่ยงทั้งในแง่การเงิน เทคโนโลยี และการบริหารจัดการ ผลประโยชน์อาจไปตกอยู่กับผู้เสนอและผู้มีอำนาจมากกว่ากลุ่มเกษตรกรรายย่อย
โครงการนี้จึงยังเป็นภาพฝันที่มีแนวคิดน่าสนใจ แต่เสี่ยงสะดุด หากไม่มีความโปร่งใสและการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวด