ส่งไม้ต่อ อธิบดีกรมการข้าว ชงหมื่นล้านดัน 15 โปรเจ็กต์ ปูทางข้าวไทยสู่อนาคต

17 ก.ย. 2568 | 21:30 น.

'ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์' ส่งไม้ต่อ อธิบดีกรมการข้าว ชงหมื่นล้าน ดัน 15 โปรเจ็กต์ ปูทางข้าวไทยสู่อนาคต ทวงตลาดข้าวโลกคืน

KEY

POINTS

  • ส่งไม้ต่อ อธิบดีกรมการข้าวคนใหม่ ชงของบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาข้าวไทย
  • งบประมาณดังกล่าวจะใช้ในโครงการสำคัญ เช่น สร้างอาคารเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าว 6 แห่ง และพัฒนาห้องปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการวิจัยพันธุ์ข้าวใหม่
  • มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนให้เกษตรกร และพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ตรงความต้องการของตลาดโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

สถานการณ์การผลิตและการค้าข้าวโลกในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ท่ามกลางภาษี ตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา (Reciprocal Tariffs) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยที่ทำการค้ากับสหรัฐมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินคู่แข่งขันเป็นระยะ กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ดังนั้นการเพิ่มผลผลิตข้าวต่อไร่และการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของตลาดจึงถือมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคราคาข้าวขาลง

“กรมการข้าว” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหนึ่งในภารกิจหลักในการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวอย่างไรนั้น “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ถึงภารกิจที่จะส่งต่อให้อธิบดีกรมการข้าวคนใหม่ (นายอานนท์ นนทรีย์) ในรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อให้ทุกห่วงโซ่เกี่ยวกับข้าวของไทยได้อยู่ดี กินดี และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

 

ส่งไม้ต่อ อธิบดีกรมการข้าว ชงหมื่นล้านดัน 15 โปรเจ็กต์ ปูทางข้าวไทยสู่อนาคต

มี 138 พันธุ์ข้าวป้อนชาวนาปลูก

นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า พันธุ์ข้าวเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอันดับแรกในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว หากมีพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพที่ดี ทั้งข้าวเกรดพรีเมียม ข้าวคุณภาพพิเศษ ข้าวคุณภาพปานกลาง รวมถึงข้าวคุณภาพตํ่า ที่ตรงกับความต้องการของตลาด ซึ่งหากพันธุ์ข้าวดังกล่าวมีความต้านทานต่อโรคและแมลง และมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่นแล้ว จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการผลิตข้าว หรือช่วยลดต้นทุนการผลิตข้าวแก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี

 

 

ทั้งนี้จากอดีตถึง พ.ศ. 2558 กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว ได้ดำเนินการปรับปรุงพันธุ์ข้าวมาอย่างต่อเนื่องจนได้ข้าวพันธุ์รับรอง พันธุ์แนะนำ และพันธุ์ทั่วไป ให้เกษตรกรปลูกในระบบนิเวศต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งพันธุ์ข้าวนาสวน ข้าวไร่ ข้าวขึ้นนํ้า ข้าวนํ้าลึก ข้าวญี่ปุ่น และธัญพืชเมืองหนาว จำนวน 138 พันธุ์ แบ่งเป็น พันธุ์ข้าวนาสวนไวต่อช่วงแสง 51 พันธุ์, พันธุ์ข้าวนาสวนไม่ไวต่อช่วงแสง 45 พันธุ์ และพันธุ์ข้าวขึ้นนํ้าไวต่อช่วงแสง 6 พันธุ์ เป็นต้น โดยพันธุ์ข้าวเหล่านี้มีทั้งชนิดข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และธัญพืชเมืองหนาว มีทั้งพันธุ์ที่ปลูกเฉพาะนาปีและปลูกได้ตลอดปี และมีบางพันธุ์เป็นข้าวหอม พันธุ์ข้าวส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงที่สำคัญ มีคุณภาพการหุงต้มตามความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นปัญหาสำคัญ

 

ส่งไม้ต่อ อธิบดีกรมการข้าว ชงหมื่นล้านดัน 15 โปรเจ็กต์ ปูทางข้าวไทยสู่อนาคต

 

อย่างไรก็ตามงานปรับปรุงพันธุ์ข้าวยังคงต้องดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะพันธุ์ที่ออกแนะนำแล้วปัจจุบันบางพันธุ์เกษตรกรอาจจะยังคงนิยมปลูกอยู่ แต่บางพันธุ์เกษตรกรอาจเลิกปลูก เนื่องจากมีข้อด้อยบางประการ การนำเอาพันธุ์ข้าวเหล่านั้นไปใช้ของเกษตรกรจึงเป็นไปในลักษณะของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในระยะที่ออกพันธุ์ข้าวนั้นเท่านั้น รวมทั้งบางพันธุ์เมื่อแนะนำให้ปลูกไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วอาจไม่มีความเหมาะสมในระยะเวลาต่อมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง หรือโรคแมลงศัตรูข้าวมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งต้องหาพันธุ์ที่มีคุณภาพดีตามความต้องการของตลาดโลก และมีศักยภาพในการแข่งขันกับตลาดโลกได้ จึงต้องดำเนินงานปรับปรุงพันธุ์โดยไม่มีที่สิ้นสุด

 

ดัน 6 อาคารเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวสำรอง

นายณัฏฐกิตติ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้กำกับดูแลของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ จนมาถึงนายอรรถกร ศิริลัทธยากร (รักษาการ รมว.เกษตรฯ) ได้ของบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปี 2568 วงเงินกว่า 10,345.3 ล้านบาท ซึ่งในแผนงานที่จะใช้ดำเนินการ อาทิ สร้างอาคารเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวพร้อมระบบควบคุมการหมุนเวียนอากาศ เก็บรักษาพันธุ์ข้าวได้นานถึง 15 ปี นำร่อง 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์วิจัยข้าวเชียงใหม่ พิษณุโลก ชัยนาท ปราจีนบุรี อุบลราชธานี และพัทลุง วงเงินกว่า 90 ล้านบาท ซึ่งหากแผนมีความต่อเนื่องถึงปีงบประมาณ 2569 ต่อไป ปัญหาเรื่องการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ข้าวก็คงจะน้อยลงไป

“ความจริงงบกลางผ่านสำนักงบประมาณแล้ว จ่อจะเข้าพิจารณาในสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม แต่ว่าเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเสียก่อน จึงคาดหวังว่าอธิบดีคนใหม่จะสานต่อในเรื่องนี้เพื่อให้มีการพิจารณาช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งต่อไปการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวของประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่อย่างเต็มรูปแบบ เพราะมีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย ตอบโจทย์กับสภาพแวดล้อมของประเทศ จะเห็นอะไรแปลกใหม่ ในช่วงที่ผมอยู่ได้ของบประมาณสนับสนุนด้านเครื่องไม้และเครื่องมือ แต่การผลิดอกออกผลยังไม่เห็นในวันนี้ อย่างไรก็ดี คาดว่าไม่เกิน 2–3 ปีนับจากนี้ กรมการข้าวจะเป็นกรมชั้นนำและไม่ด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน”

 

ฝากอธิบดีคนใหม่สานต่อนโยบาย

ที่ผ่านมายอมรับว่าได้รับแรงกดดันและยํ้าเตือนจากภาคเอกชน และเกษตรกรในเรื่องพันธุ์ข้าว ก็ได้ทำการระดมสมอง แต่เนื่องจากระยะเวลาทดลองต้องใช้ระยะเวลา เพราะแต่ละสายพันธุ์ข้าวจะต้องใช้เวลา 11-13 ปีเพื่อให้ได้พันธุ์รับรองใหม่ ๆ แต่วันนี้หากมีห้องปฏิบัติการ จะช่วยลดระยะการทดลองในแปลงปลูกได้เหลือ 3-4 ปี ซึ่งนักวิจัยของกรมเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีความมุ่งมั่น และได้ถูกส่งไปดูงานในประเทศต่าง ๆ และสามารถกลับมาพัฒนาพันธุ์ข้าว เพื่อให้ตอบโจทย์พี่น้องเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง

“เมื่อผมเกษียณไปแล้วอธิบดีคนใหม่และผู้บริหารที่เป็นระดับคีย์แมนต้องมุ่งมั่นในการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวต่อไป รวมถึงเรื่องการเยียวยานํ้าท่วม รัฐบาลมีช่วยเรื่องปุ๋ย และชีวภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาข้าวที่เวลานี้ตกตํ่าลงมาก โครงการนี้อย่างน้อยจะเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อเกษตรกรในการช่วยลดต้นทุนและเพิ่มรายได้จากผลผลิตต่อไรที่เพิ่มขึ้น” นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,132 วันที่ 18 - 20 กันยายน พ.ศ. 2568