จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

11 ก.ย. 2568 | 09:52 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 09:55 น.

เกษตรกร–ผู้ค้าข้าว เปิดนานาทัศนะ 4 'พันธุ์ข้าวป้ายแดง' ความหวังใหม่ส่งออกไทย ชี้เป้า 'กข113' พันธุ์ใหม่ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

KEY

POINTS

  • กรมการข้าวรับรองพันธุ์ข้าวใหม่ "กข113" เป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 946 กิโลกรัมต่อไร่ และมีอายุเก็บเกี่ยวสั้น
  • มีลักษณะเด่นคือสัดส่วนแกลบต่ำเพียง 20% ซึ่งเทียบเท่าพันธุ์ข้าวเวียดนาม ทำให้โรงสีชื่นชอบและคาดว่าชาวนาจะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น
  • ผู้ค้าข้าวคาดหวังว่า กข113 จะมีศักยภาพสูงในการแข่งขันเพื่อทวงคืนตลาดส่งออกจากเวียดนาม และเป็นทางเลือกให้ชาวนาไทยปลูกทดแทนพันธุ์ข้าวเวียดนาม

“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ กูรูในวงการข้างและเป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณารับรองพันธุ์ข้าว ประจำปี 2568 ตอบโจทย์ความต้องการตลาด โรงสี ชาวนา และผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ในงาน กรมการข้าว เปิดตัวรับรองพันธุ์ข้าวจำนวน 4 พันธุ์ใหม่ ล่าสุด ดังนี้

 

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

1.ข้าวเจ้าจาปอนิกา  เป็นพันธุ์รับรองชื่อ "กขจ3" เป็นพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ลำต้นแข็ง คอรวงยาว มีหางบางเมล็ด เมล็ดร่วงยาก อายุการเก็บเกี่ยว ฤดูนาปรังประมาณ 109 - 116 วัน ฤดูนาปีประมาณ 103 - 108 วัน สามารถให้ผลผลิตเฉลี่ย 733 กิโลกรัมต่อไร่ แนะนำให้ปลูกในพื้นที่นาชลประทานในเขตภาคเหนือ

2.ข้าวพันธุ์รับรอง "กข113" โดยพันธุ์ดังกล่าวจัดเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง สูงประมาณ 117 เซนติเมตร ลำต้นค่อนแข็ง ไม่มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 105 - 110 วัน เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 107 - 115 วัน มีลักษณะเด่นคือเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าพันธุ์ปทุมธานี 1 ผลผลิตเฉลี่ย 946 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 1,124 กิโลกรัมต่อไร่

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

3.ข้าวเจ้า กข117 เป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ความสูงประมาณ 113 เซนติเมตร ลำต้นแข็งมาก คอรวงสั้น เปลือกสีฟางร่องน้ำตาล ไม่มีหาง รูปร่างเรียว ผลผลิตเฉลี่ย 653 กิโลกรัมต่อไร่ สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 868 กิโลกรัมต่อไร่ ทนต่อสภาพแล้งดีกว่า ต้นเตี้ย ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

4. ข้าวเจ้า กข119 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ทรงกอตั้ง ต้นสูงประมาณ 109-115 เซนติเมตร ลำต้นค่อนข้างแข็ง ข้าวเปลือกสีฟาง มีหาง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 95 - 100 วัน เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม และ 105-115 วัน สามารถให้ผลผลิตสูงสุด 993 กิโลกรัมต่อไร่

 

มุมมอง “โรงสี-ชาวนา”  พันธุ์ข้าวป้ายแดง

 

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

เริ่มจากนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ทั้ง 4 สายพันธุ์จะดีหรือไม่ ต้องขอไปทดลองในพื้นที่นาปลูกจริงก่อน เนื่องจากสภาพแวดล้อม พื้นที่ทำนาจริงกับในนาแปลงทดลองแตกต่างกัน ดังนั้นในตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าถูกใจหรือไม่

 

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม  

ด้าน นายอนิวรรตน์ ไพรดำ  ประธานศูนย์ข้าวชุมชนระดับจังหวัดลพบุรี กล่าวว่า จาก 4 พันธุ์ข้าวใหม่  มีโดนใจพันธุ์เดียว ก็คือ กข119 เป็นข้าวพื้นนุ่ม น่าจะโดนใจชาวนา จากที่ทดลองรับประทานคล้ายกับข้าวหอมปทุม ส่วนพันธุ์ ข้าวเจ้า กข117 ไม่เหมาะที่จะให้เกษตรกรปลูก เนื่องจากคล้ายคลึงกับข้าวหอมมะลิ มากเกินไป แล้วหากนำไปปลูกในพื้นที่เดียวกับข้าวหอมมะลิก็อาจจะไปสร้างปัญหามากกว่า

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม


สอดล้องกับ นายนิพนธ์  สมิทธาพิพัฒน์  อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวไทย  กล่าวถึงการรับรองพันธุ์ข้าว 4 สายพันธุ์ ได้แก่พันธุ์   กข119 และ กข113 จัดอยู่ในกลุ่มข้าวหอมปทุมธานี หรือข้าวหอมไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ กข79 ต้องดูว่าเมื่อปลูกไปแล้วจะเป็นอย่างไร ส่วนข้าวญี่ปุ่น ก็เป็นทางเลือก เนื่องจากข้าวขาดตลาดในประเทศญี่ปุ่น ราคาแพง แต่ก็ให้ข้อสังเกตไปว่าให้ระวังเรื่องโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากตลาดในประเทศมีจำกัด

“ส่วน กข117 ข้าวนาปีไวแสง ปลูกในที่แล้ง ก็เป็นทางเลือกให้เกษตรกร สำหรับพื้นที่ค่อนข้างแล้ง ที่ดอนไม่ค่อยมีน้ำ อาจจะเป็นทางเลือกสำหรับชาวนาในการปลูกก็จะต้องไปลองดู แต่ห่วงจะมีการปลอมปนกับข้าวหอมมะลิ เพราะตัวเมล็ดเองโรงสีสามารถดูด้วยตาเปล่าถ้าไปปลอมปนในข้าวหอมมะลิ ถ้าเกษตรกรไปปลูก แล้วสลับมาปลูกข้าวหอมมะลิถ้าปนกันจะขายยาก”

 

นายธัญวัสส์ คงมณี กรรมการสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า มีสายพันธุ์ข้าว ที่โรงสีชอบมาก ก็คือ กข113 มีสัดส่วนแกลบ แค่ 20%  จากปกติทุกพันธุ์ข้าวจะมีแกรบตั้งแต่ 25% ขึ้นไป เพราะในส่วนต่าง 5% ชาวนาขายข้าวได้ราคาเพิ่มอีก 400 บาท โดยไม่ต้องใช้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลได้โดยกลไกลตลาดอยู่แล้ว ก็อยากจะให้นักวิจัยลอง ไปทำการบ้านกันต่อทำอย่างไรให้มีแกลบแค่นี้หรือต่ำกว่านี้ได้ยิ่งดี อย่างไรก็ดีในระดับนี้เทียบเท่าพันธุ์ข้าวเวียดนาม แล้วผลผลิตต่อไร่ก็สูง ดังนั้นถ้าออกมาเชื่อว่าโรงสีจะมีการแข่งขันกันสูงถ้าชาวนาปลูกพันธุ์นี้อาจจะทำให้เกิดการแข่งขันบวกราคาเพิ่มให้จูงใจปลูกมาขายโรงสี

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

 

แต่สิ่งที่อยากจะให้ศูนย์วิจัยเพิ่มเติมก็คือ ข้าวสดทำให้แห้ง อยากให้เข้าตู้อบ และเครื่องขัดสีอยากให้ทุกศูนย์ใช้เหมือนกัน เพราะเวลาเข้ากระบวนการออกมาจะได้มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ จะได้มีผลแม่นยำ เหมือนกับตู้อบโรงสีข้าว แต่หากศูนย์ใช้แสงแดดกระทบกับพื้นปูนให้ความร้อนประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส ซึ่งโรงสีใช้ความร้อนไม่ได้ขนาดนั้น โดยปกติใช้ความร้อนไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส จะทำให้ข้าวเต็มเมล็ดมากขึ้น

 

ผู้ค้า แอบหวังพันธุ์ใหม่ ทวงตลาดคืนจากเวียดนาม

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

สอดคล้อง นายสุทธิ สานกิ่งทอง นายกสมาคมค้าข้าวไทย กล่าวถึง พันธุ์ข้าวเจ้าจาปอนิกา เป็นพันธุ์รับรองชื่อ กขจ3 เป็นพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น มองว่าขายได้ในประเทศจากร้านอาหารญี่ปุ่นมีความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี มองว่ามีตลาดรองรับอยู่แล้ว แล้วถ้าเหลือใช้ในประเทศได้จริงก็สามารถส่งออกได้ด้วย มองว่ามีความน่าสนใจ ส่วนข้าวหอมไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มองว่าตลาดยังเติบโตไปได้อีก ยังมีตลาดรองรับอยู่มาก โดยเฉพาะพันธุ์กข113 ตลาดฟิลิปปินส์  ที่ไทยยังเสียตลาดให้กับเวียดนาม ดังนั้นหากส่งพันธุ์นี้ไปขายเชื่อว่าจะสามารถสู้ได้และแย่งตลาดกลับคืนมาได้ ส่วนข้าวพันธุ์สุดท้ายข้าวเจ้า กข119 ทั้งส่งออกและโรงสี มีความกังวลอาจจะมีการปลอมปนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีการปลูกข้าวหอมมะลิที่จะมีการปลอมปนได้ เพราะเป็นข้าวขาว

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

นายสามารถ อัดทอง นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวไทย กล่าวว่า จากการรับรองทั้งหมด 4 พันธุ์ มี 3 พันธุ์ที่ชัดเจน ได้แก่ กข113 มีศักยภาพการปลูกได้ ทำให้ตลาดข้าวพื้นนุ่ม เชื่อมั่นเป็นตลาดใหญ่ที่สามารถเจาะเข้าไปแทนพื้นที่เข้าหอมพวง ซึ่งเป็นข้าวเวียดนามที่ชาวนาไทยนิยมปลูกได้ ส่วนพันธุ์ข้าว กข119 มีความหอมนุ่มและยาว และมีผลผลิตไม่สูงมาก แต่ถ้าปลูกจริง เชื่อมั่นว่าเกษตรกรมืออาชีพจะปลูกจริงจะได้ผลผลิตมากกว่าในงานวิจัย แล้วด้วยอายุ 95-100 วัน น่าจะมาแทนปทุมธานี 1 ได้

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

“พันธุ์ปทุมธานี 1 ที่มีอายุยาว เวลาที่ข้าวแพง เกษตรกรจะปลูก แต่เวลาข้าวราคาถูก เกษตรกรไม่ปลูก ทำให้ผู้ส่งออกทำตลาดลำบาก เพราะมีสินค้าไม่ต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ราคาผันผวน แต่ถ้าเกษตรกรปลูกต่อเนื่องราคาก็จะนิ่ง แล้วมีของขายให้กับลูกค้าต่อเนื่องได้ตลอดเวลาจะทำให้ผู้ส่งออกทำงานได้ง่าย เกษตรกรก็ได้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งมองว่าพันธุ์ข้าว กข119 ตอบโจทย์ตลาดและชาวนา”

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

ส่วนพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น ข้าวเจ้าจาปอนิกา  หรือ กขจ3 เป็นการตอบโจทย์ในส่วนร้านค้าอาหารญี่ปุ่นในประเทศที่มีกว่า 5.900 สาขา โดยที่ไม่ต้องสั่งนำเข้าข้าวญี่ปุ่น มาจากเวียดนาม แต่ถ้ามีมากกว่านั้นก็สามารถไปช่วยแก้ปัญหาที่ญี่ปุ่นที่มีการขาดแคลนข้าวในประเทศไทย เป็นโอกาสและทางเลือกของเกษตรกรไทยหากปลูกได้จริง

 

ถอดบทเรียนพันธุ์ข้าวในอดีต

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

นายปัญญา จินตธีรชัย  กรรมการสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวถึงข้าวญี่ปุ่น พิจารณาจากเมล็ดข้าวและรสชาดน่าจะขายได้ในประเทศ แต่หากในแง่การส่งออก จะต้องพิจารณาวางแผนการเพาะปลูกเนื่องจากว่าตลาดส่งออก ถูกเวียดนามครอบครองตลาดอยู่ในราคาที่ถูกมาก เพราะฉะนั้นหากส่งออกค่อนข้างลำบาก ส่วนข้าวหอมนุ่ม กข113 ที่ศูนย์วิจัยปทุม มองว่าตลาดไปได้ แต่การที่จะส่งออกไปได้มี 2 ประเด็น ก็คือ 1.จำนวนปริมาณที่จะปลูกได้เพียงพอกับการส่งออกหรือไม่ กับเรื่องของราคา

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

“ถอดบทเรียน กข79 วันนั้นรสชาติใช้ได้ แต่เมล็ดพันธุ์มีไม่ทั่วถึง แล้วใช้เวลา 2 ปีกว่าถึงจะเข้าสู่ตลาดได้ พอเข้าสู่ตลาด ซัพพลายก็มีไม่เพียงพอ เพราะในประเทศใช้แทนได้ก็ส่งออกได้ไม่เท่าไร เพิ่งมีปลายปีทีแล้วเพียงพอที่จะส่งออก แต่ก็ไม่ได้มากมาย ส่วน กข119 มีความใกล้เคียงข้าวหอมปทุมธานี ความหอมด้อยกว่า แต่รสชาติถือว่าดี มองว่าสามารถแทนที่กับข้าวหอมปทุมธานีได้ เพราะอายุสั้นกว่า ที่สำคัญทีมงานวิจัยได้รับยอมรับจากคนวงการค้าเมล็ดพันธุ์อยู่แล้ว  ส่วน“พันธุ์ข้าวนุ่ม กข117” มองว่าเป็นตัวเลือกเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่แล้ง ก็จะมีความทนทานดีกว่าการปลูกข้าวหอมมะลิ

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

นายวรานนท์ พงศ์อุดม นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการพิเศษกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กล่าวว่า ใน 4 สายพันธุ์ข้าว มี 2 สายพันธุ์เป็นข้าวพื้นนุ่ม ,ข้าวหอมไทย 1 สายพันธุ์และข้าวญี่ปุ่น 1 สายพันธุ์ ซึ่งมองว่าข้าวญี่ปุ่น ก็เหมาะสมเป็นกระแส และต้องการขยายสนองความต้องการอยู่แล้ว ส่วนข้าวหอม ก็เห็นมีความสูงสี และก็มีจุดเด่นกว่าปทุมธานี ก็มองว่าในอนาคตอาจจะมาทดแทนกันได้ ส่วนข้าวพื้นนุ่มก็เป็นข้าวที่น่าสนใจและนักวิจัยก็พยายามพัฒนาพันธุ์ข้าวออกมาให้เป็นทางเลือกในการปลูก

“พันธุ์ข้าวนุ่ม กข117 เป็นข้าวทนแล้ง ไม่ไวแสง ปลูกช่วงนาปี เหมาะกับการปลูกในภาคอีสานที่เป็นช่วงเดียวกับการปลูกข้าวหอมมะลิ แล้วข้าวพันธุ์นี้สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีไปเสริมกับอีสานที่ปลูกข้าวหอมมะลิ พื้นที่ไหนสามารถปลูกข้าวนาปรังได้ ก็ดี แต่ถ้าปลูกได้ทับซ้อนกับข้าวหอมมะลิ ก็เชื่อว่าไม่น่าจะไปแย่งพื้นที่การปลูกข้าวหอมมะลิได้”

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

ด้านนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า ใน 4 สายพันธุ์ ที่ออกมาในครั้งนี้ คาดว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการได้ในระดับหนึ่งในเรื่องของอายุ เก็บเกี่ยว รวมถึงผลผลิตต่อไร่ที่ดีขึ้น และสามารถที่จะต่อสู้กับข้าวเพื่อนบ้านได้ในบางสายพันธุ์ อย่างไรก็ดีก็ขึ้นอยู่กับเกษตรกรว่าจะเลือกปลูก ส่วนปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่กรมการข้าวจะไปเร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ให้เพียงพอกับความต้องการ ให้ทันต่อระยะเวลาช่วงเกษตรกรลงปลูกต่อไป

จับตา ‘กข113’ พันธุ์ข้าวป้ายแดง วงการข้าว ฮือฮา! ลุ้นยึดนาไทยแทนที่ข้าวหอมเวียดนาม

“ข้าวญี่ปุ่น จะเป็นทางเลือกให้กับพี่น้องชาวนาปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวได้แล้ว เป็นที่ถูกใจผู้ประกอบการ แต่ปริมาณยังไม่มีมากเพียงพอที่จะส่งออก ดังนั้นต้องรีบเร่งในการผลิตให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับผู้ประกอบการที่จะรวบรวมผลผลิตและสามารถส่งออกได้ วันนี้ตอบโจทย์เพียงตลาดในประเทศเท่านั้น และในอนาคตก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องเกษตรกร เป็นทางเลือกให้เกษตรกรที่จะปลูกข้าวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นและสามารถส่งออกได้ ซึ่งต่อไปก็อาจจะต้องจัดโซนนิ่งพื้นที่การปลูกข้าวให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจหลักคือการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวให้ได้ข้าวพันธุ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพี่น้องชาวนาและผู้ประกอบการในทุกมิติ”