นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 รับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนและมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมการข้าว เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ให้ดำเนินการ
โดยมีแนวคิดจัดสร้างศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยให้ศูนย์ดังกล่าวเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิตและกระจายสินค้าข้าวไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมากเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง สร้างความเป็นธรรมด้านราคาข้าวเปลือก ลดการถูกกดราคาและการถูกเอาเปรียบจากการขายผลผลิต อันนำไปสู่การรักษาเสถียรภาพและสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่ง กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ไม่ขัดข้องในหลักการ/เห็นชอบ แต่ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) มีข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติมสรุป ดังนี้
สำหรับการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน ควรพิจารณาต่อยอดการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ (ร่าง) ข้อเสนอนโยบายฯ ไม่ซ้ำซ้อนกับภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานอื่นและต้องมีการวางแผนและกำกับดูแลอย่างรอบคอบและชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งสร้างความมั่นใจได้ว่าโครงการจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
การดำเนินการจำเป็นต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่า ความจำเป็น และความเหมาะสมโดยทบทวนศักยภาพของศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนที่มีอยู่เดิม เพื่อต่อยอดการดำเนินงานที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก่อนในลำดับแรก และศึกษาแผนการพัฒนาศูนย์ข้าวชุมชนของกรมการข้าวในอนาคตเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชนเพิ่มเติมเฉพาะในพื้นที่จำเป็นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน รวมทั้งพิจารณาศักยภาพและความเป็นไปได้ในการขยายภารกิจด้านการแปรรูปและการตลาดต่อไป
อย่างไรก็ดีการเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจนำ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ เสนอต่อ นบข. ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการจากหลายภาคส่วนร่วมพิจารณา และมีอำนาจหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายแผนงาน และมาตรการเกี่ยวกับสินค้าข้าว เพื่อให้การดำเนินการของรัฐบาลในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าวเป็นไปอย่างบูรณาการ สอดคล้องกันทั้งระบบ และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบังเกิดประสิทธิผล ให้พิจารณาถึงภาระงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน
ทั้งในส่วนของเงินลงทุนสร้างศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนและเงินทุนหมุนเวียน รวมทั้งควรมีการศึกษาว่าการดำเนินการตาม (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบายฯ จะสามารถลดการใช้งบประมาณได้เมื่อเปรียบเทียบกับการดำเนินนโยบายให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐที่ผ่านมา ส่วน "กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม" ควรมีการส่งเสริมความรู้แก่เกษตรกรทั้งในด้านการเกษตร และความรู้ด้านการเงินเพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาและช่วยเหลือตนเองได้อย่างยั่งยืน สนับสนุนการสร้างเครือข่ายระหว่างศูนย์ข้าวชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และการวิจัยเพื่อสร้างความแตกต่างในการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ข้าว ซึ่งจะเป็นการยกระดับราคาผลผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้อย่างมั่งคั่งและยั่งยืน
แหล่งข่าวกรมการข้าว เผยว่า ปัจจุบันกรมการข้าว มี ศูนย์ข้าวชุมชนที่รับรองแล้ว 5,752 แห่ง 2,962 ตำบล จากเป้าหมาย 6,504 ตำบล และศูนย์ข้าวชุมชน (ใหม่) ที่รอการรับรอง 349 แห่ง โดยมีแบ่ง ศูนย์ข้าวชุมชนที่ได้รับการคัดเกรดแล้ว จำนวน 5,008แห่ง แบ่งเกรดได้ดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ม.ค. 2568) เกรด A = 476 แห่ง, เกรด B = 1,056 แห่ง, เกรด C = 3,113 แห่ง และ เกรด D = 363 แห่ง