ส่องความปลอดภัยทางชีวภาพ ข้าวโพดสหรัฐ ก่อนไทยเปิดตลาด 4 ล้านตัน

28 ส.ค. 2568 | 08:46 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ส.ค. 2568 | 09:01 น.

หนึ่งในเงื่อนไขเจรจาของไทย กรณีสหรัฐใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) คือเพิ่มปริมาณสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ กากถั่วเหลือง เป็นต้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทย

ผลการเจรจาในเบื้องต้น ไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ล้านตัน กากถั่วเหลือง 3 ล้านตัน และกากข้าวโพดอีก 1 ล้านตันจากสหรัฐฯ ส่งผลให้ชาวไร่ข้าวโพดเกิดความกังวลว่าอาจทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำและการผลิตจะลดลง ที่สำคัญ คือ ข้าวโพดจากสหรัฐฯเกือบทั้งหมดเป็นข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรม และรวมถึงถั่วเหลือง ที่ยังมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ในความเป็นจริง การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกากถั่วเหลือง ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีความต้องการสูง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลประมาณการ ปริมาณความต้องการอาหารสัตว์ในปี พ.ศ. 2568 อยู่ที่ 21.8 ล้านตันมีความต้องการใช้ข้าวโพดอยู่ที่ 9.2 ล้านตัน

ส่องความปลอดภัยทางชีวภาพ ข้าวโพดสหรัฐ ก่อนไทยเปิดตลาด 4 ล้านตัน

แต่ผลผลิตข้าวโพดในประเทศมีเพียง 4.59 ล้านตัน หรือผลิตได้เพียงร้อยละ 49.89 (ปี 2567/2568) และมีความต้องการใช้กากถั่วเหลืองอยู่ที่ 4.6 - 4.7 ล้านตัน แต่กากถั่วเหลืองที่ผลิตจากเมล็ดถั่วเหลืองในประเทศมีเพียง 0.010 - 0.012 ล้านตัน หรือไทยผลิตได้เพียงร้อยละ 2.17 ดังนั้น การนำเข้าข้าวโพด และกากถั่วเหลือง เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองจัดเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งมีการนำเข้ามาเป็นเวลานานแล้ว และจากข้อมูลในปี พ.ศ. 2567 มีการนำเข้าข้าวโพด จำนวน 2.01 ล้านตัน ส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ เมียนมา ลาว และกัมพูชา มีส่วนน้อยนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่กากถั่วเหลือง จำนวน 2.83 ล้านตัน ส่วนใหญ่มาจากบราซิล สหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา

ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลืองที่นำเข้าเกือบทั้งหมดจะเป็นพืชดัดแปลงพันธุกรรม และปลูกอยู่ในแหล่งปลูกเพื่อการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2566 ทั่วโลกมีพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรมมากที่สุดที่ 630.62 ล้านไร่ รองลงมาคือ ข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมีพื้นที่ 433.12 ล้านไร่

สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ เป็นสมาคมที่ไม่แสวงหาผลกำไร ทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ความปลอดภัยทางชีวภาพ และรวมถึงการกำกับดูแลสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1.อาการแพ้ : ไม่มีอาหารใดที่ปลอดภัย 100% ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป อาหารดัดแปลงพันธุกรรม หรืออาหารออร์แกนิก และการแพ้อาหารส่วนใหญ่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบในอาหารเพียง 9 ชนิด ได้แก่ ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง นม ไข่ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง หอย งา และปลา

กรณีถั่วเหลืองที่พบว่าเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้และมีจำหน่ายในรูปแบบของอาหารดัดแปลงพันธุกรรม หากแพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองปกติก็จะแพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรม และหากไม่แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองปกติก็จะไม่แพ้อาหารที่ทำจากถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรม

2) ความเป็นพิษ : จากข้อมูลของขององค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา สรุปแล้วว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมไม่มีพิษต่อมนุษย์  แม้แต่สารบีทีในข้าวโพดดัดแปลงพันธุกรรมบางสายพันธุ์ ก็จะมีฤทธิ์เพียงต้านทานแมลงศัตรูพืชเท่านั้น

3) การดื้อยาปฏิชีวนะ : พืชดัดแปลงพันธุกรรมไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการดื้อยาของมนุษย์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่ายีนจากพืชเหล่านี้ไม่ได้ถ่ายทอดสู่มนุษย์หรือสัตว์โดยตรงจนทำให้เกิดการดื้อยา และมีโอกาสต่ำมากที่แบคทีเรียในลำไส้จะได้รับยีนเหล่านี้ ตามข้อมูลขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริการะบุชัดเจนว่า ดีเอ็นเอจากอาหารทั้งอาหารปกติและอาหารดัดแปลงพันธุกรรม ส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายในระบบย่อยอาหาร

4) การเปลี่ยนแปลงคุณค่าทางโภชนาการ : ก่อนการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะมีการตรวจสอบปริมาณสารอาหารโดยใช้หลัก “คุณค่าทางโภชนาการที่เปรียบเทียบได้” ซึ่งงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ มีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับอาหารที่ไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม

อีกประการสำคัญคือ ก่อนที่อาหารดัดแปลงพันธุกรรมจะถูกจำหน่ายเชิงพาณิชย์ จะมีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขภาพของรัฐบาล ซึ่งผลการตรวจสอบจำนวนมากกว่า 2,000 ชิ้นแสดงให้เห็นว่า อาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ไม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือมีความเป็นพิษ เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารที่ไม่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม รวมทั้งไม่มีการดื้อยาปฏิชีวนะและไม่มีผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นต่อปริมาณสารอาหาร กล่าวโดยสรุปได้ว่า “ไม่พบสิ่งใดบ่งชี้ว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ”

เนื่องจากไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมที่วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์มีความเสี่ยงต่อสุขอนามัยของมนุษย์ องค์กรทางวิทยาศาสตร์อิสระกว่า 275 แห่งทั่วโลก และผู้ได้รับรางวัลโนเบลกว่า 110 คน จึงได้สรุปเป็นฉันทามติว่า อาหารดัดแปลงพันธุกรรมมีความปลอดภัยในการรับประทานเช่นเดียวกับอาหารที่ไม่ได้ดัดแปลงพันธุกรรม

บทความโดย : สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์