ผู้เชี่ยวชาญเสนอซื้อโบอิ้ง-อาวุธสหรัฐเพิ่ม ลดแรงกดดันไม่เปิดตลาดหมู

20 ส.ค. 2568 | 04:02 น.
อัปเดตล่าสุด :20 ส.ค. 2568 | 04:56 น.

ดีลภาษี 19% บีบไทยเร่งลดเกินดุลการค้าสหรัฐลง 70% ใน 5 ปี ผู้เชี่ยวชาญชี้หากไม่เปิดตลาดหมูที่จะกระทบเกษตรกรหนัก ไทยต้องชดเชยด้วยการซื้อพลังงาน เครื่องบินโบอิ้ง อาวุธ และสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่ม เพื่อลดแรงกดดัน

ข้อตกลงภาษีการค้า 19% กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลไทยต้องหาทางแก้ เพื่อรักษาสมดุลผลประโยชน์ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ปี 2567 ไทยส่งออกไปสหรัฐ 63,300 ล้านดอลลาร์ แต่นำเข้าเพียง 17,700 ล้านดอลลาร์ ทำให้ไทยเกินดุลสูงถึง 45,600 ล้านดอลลาร์ ภายใต้ดีลนี้ไทยตั้งเป้าลดการได้ดุลการค้าสหรัฐลง 70% ภายใน 5 ปี เหลือเกินดุลเพียง 13,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การลดดุลการค้าสหรัฐให้ได้ถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ใน 5 ปีมีความเป็นไปได้ หากไทยวางกรอบนำเข้าสินค้าจากสหรัฐให้ชัด แต่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียดจากรัฐบาลว่าไทยจะเปิดตลาดให้สหรัฐในสินค้าใดบ้าง

ผู้เชี่ยวชาญเสนอซื้อโบอิ้ง-อาวุธสหรัฐเพิ่ม ลดแรงกดดันไม่เปิดตลาดหมู

ทั้งนี้ทางออกสำคัญคือ เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่ไม่กระทบเกษตรกร เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นํ้ามัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ รวมถึงผลไม้ พวกแอปเปิลและเชอร์รี ด้านสินค้าอุตสาหกรรมก็เป็นอีกตัวเลือก ทั้งรถกระบะขนาดใหญ่ รถบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ออกกำลังกาย หากลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐ ผู้บริโภคไทยจะได้ประโยชน์ จากราคาที่ถูกลง

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สหรัฐส่งสัญญาณต้องการให้ไทยเปิดตลาดมากที่สุดคือ “หมู” ซึ่งหากไทยยอมเปิดตลาด จะกระทบเกษตรกรอย่างรุนแรงเพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่า
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน

ทั้งนี้เสนอว่า หากไทยไม่ยอมเปิดตลาดหมู ก็ต้องใช้สินค้าชดเชยที่มีมูลค่ามากพอแก่สหรัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อเครื่องบินโบอิ้งเพิ่มเป็นร้อยลำ เพื่อช่วยดึงดุลการค้าและยกระดับสายการบินไทยที่ตกอันดับในตลาดโลก ขณะเดียวกันอาจรวมถึงการจัดหาเครื่องบินรบหรืออาวุธเพิ่มเติมภายในกรอบ 5 ปี

โดยสรุปเส้นทางรอดของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยอยู่ที่การที่รัฐบาลไม่เปิดตลาดหมู แต่เลือกเจรจาแลกด้วยพลังงาน เครื่องบิน และสินค้าอุตสาหกรรมอื่นแทน ซึ่งจะช่วยรักษาสมดุลทั้งการค้าระหว่างประเทศ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศ