บิ๊กเอกชน ชี้ความเชื่อมั่นประชาชนดิ่ง “แพทองธาร” ได้ไปต่อ บริหารประเทศยาก

26 ส.ค. 2568 | 08:39 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2568 | 09:06 น.

บิ๊กเอกชนชี้ไม่ว่า “แพทองธาร”ถูกศาลตัดสินได้ไปต่อ หรือพอแค่นี้ กระทบเชื่อมั่นประชาชน-ลงทุนต่างชาติถดถอย บริหารประเทศยาก หมดหวังการเมืองไทย ยุบสภา-ลาออก ได้รัฐบาลหน้าเดิม ๆ เดินหน้าธุรกิจพึ่งตัวเอง

จากที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จาก “คลิปเสียง” สนทนากับนายฮุน เซน ของกัมพูชา ผ่านการไต่สวนพยานบุคคลไปแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้นั้น

นายธนิต  โสรัตน์ รองประธานองค์การนายจ้างผู้ประกอบการการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในเรื่องนี้ไม่ว่าฉากทัศน์ หรือคำวินิจฉัยของศาลฯจะออกมาอย่างไร ส่วนตัวได้มองข้ามช็อตไปแล้ว ทั้งนี้แม้ที่สุดแล้วนายกรัฐมนตรียังได้ดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ในแง่ความเชื่อมั่นของประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีต่อตัวนายกฯ ถือว่าหมดไปแล้ว ซึ่งจะทำให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความยากลำบาก คงทำได้เพียงการทำงานเพื่อประคองเศรษฐกิจเพื่อนำสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่เท่านั้น

“นายกรัฐมนตรีจะถูกจะผิดหรือไม่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้นำแล้ว ก็อยู่ยาก ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด โดยเฉพาะการบริหารประเทศ ผมมองว่าอย่างไรก็แล้วแต่คงต้องไปสู่การเลือกตั้ง จะดันทุรังไปก็คงลำบาก”

อย่างไรก็ดี หากมีการยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ การเมืองไทยหลังเลือกตั้งก็ยังไม่เห็นทางออกที่ดีกว่าปัจจุบันมากนัก เพราะตัวนักการเมืองไทยในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำพรรค สมาชิกพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็ยังเป็นหน้าเดิม ๆ และสมการการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลก็คาดว่ายังไม่เปลี่ยนแปลงหากพรรคเพื่อไทยยังได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่อาจจะมีสลับขั้วเล็กน้อยหากพรรคประชาชน หรือพรรคสีส้มได้มาเป็นรัฐบาล ในส่วนของผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ พาณิชย์ คมนาคม และกระทรวงอื่น ๆ ก็ยังหาตัวผู้ที่เหมาะสมค่อนข้างยาก

ในส่วนของการเมืองไทยกับผลกระทบภาคธุรกิจเอกชนเวลานี้ การลงทุนต่างชาติไทยอาจได้รับผลกระทบจากการขาดความเชื่อมั่น และการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่าง ๆ ส่วนภาคเอกชนไทยรู้สึกสิ้นหวัง และต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก การทำธุรกิจส่งออกเหนื่อยขึ้น จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และจากกำแพงภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอีก 19% การช่วยขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตสูง ๆ เช่น เวียดนามโตปีละ 6-7% เป็นเรื่องที่ยาก เศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยในช่วง 10  ปีที่ผ่านมาขยายตัวเฉลี่ยเพียงระดับ 2% ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากปัญหาการเมืองในประเทศ

“กรณีหากศาลฯตัดสินนายกฯไม่ผิด และยังได้บริหารประเทศต่อ ก็จะมีปัญหาด้านความเชื่อมั่นจากประชาชน แต่หากศาลฯวินิจฉัยว่า นายกฯผิดต้องพ้นจากตำแหน่ง และจะส่งผลให้ครม.ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง สภาผู้แทนก็ต้องลงมติเพื่อเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งตามโผรายชื่อแคนดิเดตที่เหลืออยู่ เช่น คุณเกษม  นิติสิริ พรรคเพื่อไทย,คุณอนุทิน  ชาญวีรกูล, พรรคภูมิใจไทย, คุณพีรพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค พรรครวมไทยสร้างชาติ ก็มองว่าจะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากของประเทศ

มองเกมแล้วยังถือเป็นไพ่สำรับเดิม ๆ คนเล่นเดิม ๆ ถือว่าไม่มีไพ่ใหม่เล่นเลยสำหรับประเทศไทย หมดตัวเลือกแล้ว และที่ผ่านมาใช้นโยบายประชานิยมแจกเงิน ไม่ได้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันอย่างจริงจัง ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำในทุกปี” นายธนิต กล่าว