บิ๊กท่องเที่ยวชี้ปมคลิปเสียงแพทองธาร นายกฯจะอยู่หรือไปไม่แตกต่าง ธุรกิจยังต้องเดินต่อ

26 ส.ค. 2568 | 08:01 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2568 | 08:34 น.

บิ๊กธุรกิจท่องเที่ยวชี้คดีนายกแพทองธาร ปมคลิปเสียง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะอยู่หรือไป ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เหตุธุรกิจยังคงต้องเดินหน้าต่อเหมือนเดิม ทั้งที่ผ่านมาประเทศไทยก็มีการเปลี่ยนตัวนายกบ่อยอยู่แล้ว ขอเพียงอย่าให้เกิดความรุนแรง หรือการชุมนุมประท้วงหนักเกินไป

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อิตัลไทย และผู้ก่อตั้ง ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) เปิดเผยว่า ปมคลิปเสียงแพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นไม่ว่านายกจะอยู่หรือไม่ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ธุรกิจยังต้องอยู่และเดินหน้าต่อเหมือนเดิม ส่วนผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นหรือภาพลักษณ์คงเป็นระยะสั้นเท่านั้น เพราะประเทศไทยมีการเปลี่ยนตัวนายกบ่อยอยู่แล้ว ขอเพียงอย่าให้มีความรุนแรงมาก มีการชุมนุมประท้วงหนักเกินไป

“สิ่งที่รัฐบาลต้องทำตอนนี้คือ เลิกทะเลาะกัน มองประเทศชาติมากขึ้น ว่าต้องการอะไร ทั้งความสมานฉันท์ การเดินไปข้างหน้า และปากท้องของประชาชน เพราะคนทำงานเหนื่อยมาก รวมถึงผู้ประกอบการด้วย เพราะหากคนทำงานเหนื่อยแล้ว เจ้าของกิจการก็เหนื่อยไม่แพ้กัน เนื่องจากกำลังซื้อลดลง” นายยุทธชัย กล่าว

 

ส่วนภาพรวมการท่องเที่ยวในปี 2568 นี้ มองว่ายังไปถึงเป้าหมายที่จำนวน 35 ล้านคนไม่ได้ ส่วนปี 2569 หวังว่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ยังมองว่าคงทรงตัว จำนวนคงไม่ได้พุ่งเหมือนช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงอยู่ประมาณนี้ต่อไป นักท่องเที่ยวก็จะมาจากตลาดเดิมๆ ธุรกิจทั่วโลกไม่ได้ดีมากนัก กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง รวมถึงคนไทยที่ตอนนี้เหนื่อยกันหมด ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้าหรือธุรกิจส่วนใหญ่

ยุทธชัย จรณะจิตต์

เพราะปัญหาหลักคือ การหารายได้ ทำให้ไตรมาส 3/2568 เริ่มมีหลายบริษัทในหลายเซกเตอร์ที่เริ่มลดคนทำงานแล้ว รวมถึงการตั้งงบประมาณในปี 2569 ก็มีการลดในเรื่องพนักงานด้วย ภาวะปัจจุบันจึงเป็นการรัดเข็มขัด และบริหารจัดการต้นทุนคงที่ของธุรกิจให้ดี เพราะรายได้ข้างหน้ายังมองไม่ชัดเจน ทำให้ธุรกิจยังอยู่ในจุดที่ต้องระมัดระวัง

ในธุรกิจโรงแรมคงยังไม่เห็นการเลิกจ้างพนักงาน เพราะส่วนใหญ่ยังต้องการแรงงานภาคบริการที่มีทักษะในการให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ แต่จากการที่รัฐบาลประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ธุรกิจต้องปรับตัวในส่วนของการจ้างแรงงานใหม่ หันมาในพนักงานที่มีอยู่แบบทำงานหลายหน้าที่มากกว่าเดิม เป็นการบริหารจัดงานให้ดีมากขึ้น

ส่วนกรณีแรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศต้นทาง เพราะข้อพิพาทกับไทย ยังไม่ได้มีผลกระทบต่อแรงงานในภาพรวม เพราะแรงงานส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจก่อสร้าง  ภาคบริการใช้แรงงานจากเมียนมาที่มีจำนวนมากกว่าและอยู่มานานแล้วเป็นหลัก

ด้านการแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประเทศไทยยังต้องมีการพัฒนาอีกหลายส่วนมาก โดยเฉพาะสิ่งท่องเที่ยวสร้างเอง (แมนเมด) เนื่องจากหากเทียบกับประเทศที่มาแรงอย่างเวียดนาม จะเห็นว่าช่วงหลังๆ พัฒนาได้เร็วมาก มีการลงทุนแมนเมดเพิ่มขึ้นหลายแห่ง รวมถึงอาจลงทุนด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ด้วย ประเมินว่าประเทศไทยคงไม่สามารถดำเนินการอย่างรวดเร็วได้เท่าเวียดนาม

เพราะรูปแบบการบริหารแตกต่างกัน หลายโครงการที่จะเกิดขึ้น อาทิ เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ของไทยก็ยังอยู่ในอากาศ อย่างไรก็ตาม มองว่าท่องเที่ยวเวียดนามยังสู้ประเทศไทยไม่ได้ โดยเฉพาะภาคบริการ ธรรมชาติที่สวยงาม และคุณภาพที่มีมากกว่า