นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ในฐานะนักธุรกิจเกี่ยวกับประเด็นเรื่องกรณีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมปมคลิปเสียงคุยกับฮุน เซนที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาชี้ขาดวันที่ 29 ส.ค. 68 ว่า สภาพเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆในนาทีนี้ ประเทศไทยต้องมีผู้นำประเทศที่มาบริหารแบบเต็มตัว 100%
ทั้งนี้ ต้องเรียนว่าการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเวลานี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงจากทางการเมืองเป็นหลัก ไม่ว่านายกฯจะลาออกหรือเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือเป็นเหตุต้องถึงขั้นยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน ก็ต้องการให้เป็นเรื่องของกลไกในระบบการเมือง แต่ไม่ใช่มาจากเหตุผลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องการให้มีกระแสใดมากดดันคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ
“การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิด อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงจากทางการเมืองเป็นหลัก ไม่ว่านายกฯจะลาออกหรือเปลี่ยนคน แต่ไม่ใช่มาจากเหตุผลอื่น”
อย่างไรก็ดี ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าตัวเลือกนายกรัฐมนตรีเท่าที่เหลืออยู่ ล้วนแต่น่าวิตกและกังวล เพราะไม่น่าใช่ตัวเลือกที่ดีมากนักในสถานการณ์ปัจจุบัน
นายอิศเรศ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยบอบช้ำมามากแล้วจากหลายปัจจัย นักลงทุนต้องการให้การเมือง โดยเฉพาะรัฐบาลมีเสถียรภาพ และบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ และใช้ระบบรัฐสภาในการตัดสินใดๆ
โดยหากมีการลาออก หรือยุบสภา หรือวิกฤตการเมืองใดจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศ GDP จะต่ำกว่า 1.8% การส่งออกจะต่ำกว่า 2% ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงทำให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน สะท้อนจากตัวเลขในช่วง 9 เดือนแรก (ต.ค. 67 - มิ.ย. 68) มีการเบิกจ่ายเพียง 370,330 ล้านบาท หรือ 39.8% ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 80%