สภาธุรกิจฯ ติวเข้ม 3 ทางรอดค้าไทย ฝ่าวิกฤตเมียนมาปิดด่าน คุม “Earning Money”

24 ส.ค. 2568 | 08:20 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2568 | 08:42 น.

ปิดด่านแม่สอด–เมียวดี ลามตลอดแนว สะเทือนการค้าชายแดนหนัก หลังเมียนมาเข้มนโยบาย “Earning Money” สกัดสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย สภาธุรกิจไทย–เมียนมาหารือรัฐ–เอกชนไทย วาง 3 แนวทางให้ผู้ประกอบการไทยฝ่าวิกฤต

จากสถานการณ์การค้าไทย-เมียนมาที่ไม่ปกติ หลังทางการเมียนมามีคำสั่งปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 (เชื่อมแม่สอด-เมียวดี) ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา กระทบการค้าชายแดนไทย-เมียนมาอย่างรุนแรงเนื่องจากรถยนต์ทุกชนิดและรถบรรทุกสินค้าไม่สามารถผ่านเข้า-ออกได้

ทั้งนี้ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ในปี 2567 การค้าไทย-เมียนมา (ส่งออก+นำเข้า) มีมูลค่ากว่า 2.53 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนมากกว่า 80% เป็นการค้าชายแดนผ่านการขนส่งทางบก

 

นายกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา สภาธุรกิจไทย-เมียนมา ได้เชิญตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องหน่วยงานร่วมประชุมหารือ เพื่อหาแนวทางในการดำเนินการค้าขายชายแดนให้ถูกต้องตามกฎหมายของเมียนมาที่ได้กำหนดออกมา
ได้ข้อสรุปที่สำคัญ ในระยะสั้น คือ

1.ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเมียนมา จะต้องตรวจสอบผู้ซื้อจากทางฝั่งเมียนมาว่า ได้มีการขออนุญาตนำเข้าสินค้าอย่างถูกต้องหรือไม่

2.ผู้ซื้อได้มีการสำแดงใบ Earning Money เพื่อขออนุญาตหรือไม่ หากไม่มีก็จะต้องช่วยเหลือให้คู่ค้าเสาะแสวงหามาสำแดงต่อไป ซึ่งทางสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต./ทูตพาณิชย์ไทย) ประจำเมียนมา จะเป็นผู้ช่วยเหลือประสานงานให้ในการเสาะหาผู้ประกอบการที่มี Earning Money เหลือพอที่จะนำมาจำหน่ายให้ ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะต้องไปตกลงกันเองต่อไป

 

3.ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินธุรกรรมทางการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายของเมียนมา เพื่อป้องกันการถูกขึ้นบัญชีดำ (Black List) ส่วนในระยะยาว ทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมา จะหาทางช่วยเหลือต่อไป

กริช อึ้งวิทูรสถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา

ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมา กล่าวอีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เริ่มจากการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นต้นมา ช่วงนั้นเศรษฐกิจเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนกระทั่งมาเกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามมา ทำให้กลุ่มปัญญาชนบางส่วนได้หลบหนีการเกณฑ์ทหาร และเดินทางออกไปหางานทำหรือไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ ส่งผลให้การค้า-การลงทุนในเมียนมา มีปัญหาการจ้างงานภายใน

ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินจ๊าตของเมียนมาในช่วงนั้น ตกต่ำถึงขีดสุด จึงทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ตามมาด้วยการขาดดุลการค้า และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของเมียนมาเอง ก็ลดน้อยถอยลงอย่างมีนัย รัฐบาลได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายมาตรการ แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าที่ควร

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาได้ออกนโยบายเอิร์นนิ่งมันนี่ (Earning Money) ด้วยการใช้วิธีควบคุมการขออนุญาตนำเข้าสินค้าอย่างเข้มข้น โดยมีการกำหนดให้บริษัทที่จะขออนุญาต ต้องแสดงความสามารถในการทำรายได้จากต่างประเทศ เพื่อให้ได้สิทธิในการนำเข้าสินค้า และกำหนดจำนวนมูลค่าสินค้าและจำนวนใบ Invoice ที่ขออนุญาตแต่ละวัน เพื่อมารักษาดุลการค้าต่างประเทศ ไม่ให้ขาดดุลมากจนเกินไป

อีกทั้งเพื่อรักษาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ให้ลดลงไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนัก เพราะการค้าชายแดนตามชายแดนต่าง ๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงที่ชายแดนไทย-เมียนมาเท่านั้น แต่ทุกชายแดนเมียนมาล้วนมีการหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าด้วยกันทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รัฐบาลเมียนมาจำต้องมีนโยบายการตรวจจับปราบปรามที่เข้มข้น โดยได้มอบหมายให้พลเอก โซ วิน ที่เป็นมือทำงานระดับแนวหน้าเข้ามาดำเนินการ จนกระทั่งเกิดการปิดด่านพรมแดนที่อำเภอแม่สอด และอีกหลาย ๆ ด่านก็ได้รับการเข้มงวดมากขึ้น

สภาธุรกิจฯ ติวเข้ม  3 ทางรอดค้าไทย ฝ่าวิกฤตเมียนมาปิดด่าน คุม “Earning Money”

“รัฐบาลเมียนมาได้ออกมาตรการเข้มงวดในการปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย โดยเริ่มบังคับใช้อย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 13–14 สิงหาคมที่ผ่านมา มีการปิดด่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 ที่แม่สอด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง

ส่งผลให้เวลานี้มีสินค้าที่ตกค้างอยู่ทางฝั่งแม่สอดจำนวนมาก และยังมีสินค้าตกค้างระหว่างทางจากผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าไปแล้วก็ไม่สามารถส่งเข้าไปยังกรุงย่างกุ้งได้ ทั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเฉพาะด่านแม่สอดอย่างเดียว แต่เวลานี้ได้ส่งผลกระทบไปหมดทุกด่านของไทย-เมียนมา”

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มองว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2568 ที่จะเป็นวันเลือกตั้งทั่วไปของเมียนมาตามที่ได้ประกาศออกมาแล้ว ซึ่งคงต้องการแสดงให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะทำทุกวิถีทางในการจัดการทุกอย่างให้มาอยู่บนโต๊ะให้ได้มากที่สุด ก่อนส่งมอบอำนาจให้รัฐบาลชุดใหม่ของเมียนมาหลังการเลือกตั้งต่อไป

ดังนั้นขอฝากให้ผู้ประกอบการค้าชายแดนของไทยที่ได้รับผลกระทบ ต้องปรับตัว และต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายของเมียนมา เนื่องจากทางการเมียนมาได้ประกาศว่า หากมีบริษัทใดที่ทำผิดกฎหมาย และจับได้ จะถูกสั่งยุติการดำเนินการทางธุรกรรมของบริษัทนั้น ๆ ทันที และจะถูกขึ้นแบล็กลิสต์จากทางการเมียนมาต่อไป