ส่งออกไทยระส่ำ 'เมียนมา' ปิดด่านแม่สอด-เมียวดี สะเทือนการค้า 1.3 แสนล้าน

18 ส.ค. 2568 | 11:46 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ส.ค. 2568 | 12:01 น.

ชายแดนแม่สอดวุ่น หลังทางการเมียนมาปิดด่านสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 หวังดึงรายได้จากชนกลุ่มน้อย ทำให้ส่งออกไทยสะเทือนหนัก สินค้าขนาดใหญ่หยุดชะงัก มูลค่าร่วงเหลือแค่หมื่นล้าน กระทบการค้า 1.3 แสนล้าน

สถานการณ์การค้าชายแดนบริเวณด่านศุลกากรแม่สอด-เมียวดี กำลังเผชิญวิกฤตหนัก หลังทางการเมียนมามีคำสั่งด่วน "ปิดสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2" ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจส่งออก-นำเข้า และเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างรุนแรง ขณะที่หอการค้าจังหวัดตากเร่งหารือเตรียมเจรจารัฐบาลเมียนมา

คำสั่งปิดด่านฯ เพื่อจัดระเบียบรายได้เมียนมา เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการเมียนมาประจำจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้สั่งปิดด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ทำให้ รถยนต์ทุกชนิดและสินค้าขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้า-ออกได้

รายงานข่าว ระบุว่า คำสั่งปิดด่านฯ นี้มาจากหน่วยเหนือที่เมืองเนปิดอว์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ กดดันให้มีการส่งออกสินค้าเข้าสู่ระบบของรัฐบาลกลางเมียนมา เพื่อให้รัฐมีรายได้ เนื่องจากที่ผ่านมา รายได้ส่วนใหญ่จากการค้าชายแดนกลับไปตกอยู่กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ รวมถึงกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) ที่เป็นกองกำลังหลักในพื้นที่ รัฐบาลเมียนมาจึงต้องการจัดระเบียบใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ

"การปิดด่านฯ ดังกล่าว ไม่มีการแจ้งให้ทางการไทยทราบล่วงหน้าแต่อย่างใด แม้แต่ด่านศุลกากรแม่สอดก็ไม่ได้รับแจ้ง" รายงานข่าวระบุ 

อย่างไรก็ตาม สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ยังคงเปิดทำการปกติ โดยอนุญาตให้ชาวไทยและชาวเมียนมาสามารถเดินทางข้ามแดนไปมาได้ และยังสามารถขนส่งสินค้ารายย่อย ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้สอยในท้องถิ่นได้ตามปกติ

ผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจชายแดน

การปิดด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ถือเป็น ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการส่งออกและนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ ทำให้รถยนต์บรรทุกที่เคยไปส่งสินค้าไทยในพื้นที่เมียวดีได้รับผลกระทบอย่างหนัก สถานการณ์นี้สร้างความเดือดร้อนอย่างมากต่อผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ผู้ส่งออก-นำเข้า และธุรกิจชิปปิ้ง

ล่าสุดในวันนี้ (18ส.ค.68) มีการเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดตาก รวมทั้งสมาชิกหอการค้า ผู้ประกอบการขนส่ง และชิปปิ้ง เพื่อหารือถึงผลกระทบจากมาตรการที่เข้มงวดของทั้งไทยและเมียนมา โดยเฉพาะการปิดด่านฯ ที่ประชุมได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์ของไทยเร่งเจรจากับรัฐบาลเมียนมาเพื่อหาทางออก

นอกจากนี้ มาตรการที่เข้มงวดของฝ่ายไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดตาก/ผู้อำนวยการศูนย์สั่งการชายแดนไทย จ.ตาก ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแจ้งล่วงหน้า 2 วัน และมีการร่วมตรวจสอบสินค้าจากทหาร ฝ่ายปกครอง และศุลกากร ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ก็สร้างความกังวลอย่างยิ่งว่าจะทำให้เกิดความล่าช้าและสินค้าเสียหาย ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าอาจทำให้ ระบบการค้าชายแดนเป็นอัมพาต และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงรายได้ของรัฐบาลไทยด้วย

"มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยังเมียนมาผ่านช่องทางนี้ ลดลงอย่างฮวบฮาบจากเดิมเกือบ 50,000 ล้านบาท เหลือเพียงหมื่นกว่าล้านบาทต่อไตรมาสเท่านั้น" รายงานข่าวระบุ

 

สถิติการค้าชายแดนแม่สอด

ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบข้อมูลจาก ด่านศุลกากรแม่สอด พบข้อมูลที่น่าสนใจ ระบุว่า ด่านศุลกากรแม่สอดครอบคลุมพื้นที่รับผิดชอบ 5 จังหวัด ได้แก่ ตาก กำแพงเพชร สุโขทัย นครสวรรค์ และอุทัยธานี มีพรมแดนติดเมียนมายาวประมาณ 533 กิโลเมตร การค้าชายแดนที่นี่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจภูมิภาค

ภาพรวมมูลค่าการค้าชายแดนด่านศุลกากรแม่สอด (ปีงบประมาณ 2559 – 31 กรกฎาคม 2568)

  • มูลค่าการค้ารวมสูงสุด อยู่ในปีงบประมาณ 2565 (1 ตุลาคม 2564 - 30 กันยายน 2565) ที่ 258,594.33 ล้านบาท
  • สำหรับปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 138,598.203 ล้านบาท
    • มูลค่าการส่งออก: 55,484.309 ล้านบาท
    • มูลค่าการนำเข้า: 16,750.329 ล้านบาท

แนวโน้มที่น่าจับตาในปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 - 31 กรกฎาคม 2568) เมื่อเปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2567 (1 ตุลาคม 2566 - 30 กันยายน 2567):

  • มูลค่าการค้ารวม ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) เพิ่มขึ้น 78.94% (จาก 77,453.054 ล้านบาท เป็น 138,598.203 ล้านบาท)
  • มูลค่าการส่งออก ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) ลดลง 21.34% (จาก 70,541.237 ล้านบาท เหลือ 55,484.309 ล้านบาท)
  • มูลค่าการนำเข้า ในปีงบประมาณ 2568 (ถึง ก.ค. 68) เพิ่มขึ้นสูงถึง 142.34% (จาก 6,911.817 ล้านบาท เป็น 16,750.329 ล้านบาท)

 

สินค้าส่งออกและนำเข้าสำคัญ (ปีงบประมาณ 2568 ถึง ก.ค. 2568)

สินค้าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก:

  1. โทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์ (มูลค่า 2,500.67 ล้านบาท)
  2. รถจักรยานยนต์ (มูลค่า 2,005.26 ล้านบาท)
  3. น้ำมันปาล์ม (มูลค่า 1,631.30 ล้านบาท)
  4. น้ำมันดีเซล (มูลค่า 1,543.19 ล้านบาท)
  5. รถยนต์เก่าใช้แล้วนำเข้ามาปรับสภาพและส่งออก (มูลค่า 1,510.90 ล้านบาท)

มูลค่าส่งออกรวมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 4,016.24 ล้านบาท โดยมีโทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์เป็นอันดับ 1 (239.60 ล้านบาท)

สินค้าส่งออกผ่านแดนขาออกสำคัญ 5 อันดับแรก:

  1. โทรศัพท์มือถือพร้อมอุปกรณ์
  2. แบตเตอรี่
  3. สินค้าอุปโภคบริโภค
  4. ยารักษาโรค, วิตามิน, อุปกรณ์ทำแผล
  5. ลำโพง เครื่องเสียง

สินค้าหลักที่นำเข้าสูงสุด 5 อันดับแรก:

  1. แร่พลวง (ใช้สิทธิคลังทัณฑ์บน) (มูลค่า 12,354.30 ล้านบาท)
  2. เศษอลูมิเนียมเก่าใช้แล้ว (มูลค่า 733.75 ล้านบาท)
  3. พริกแห้ง (Form D) (มูลค่า 428.29 ล้านบาท)
  4. พริกสด (Form D) (มูลค่า 347.94 ล้านบาท)
  5. มะขามเปียก (Form D) (มูลค่า 116.74 ล้านบาท)

มูลค่านำเข้ารวมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 3,140.57 ล้านบาท โดยมีแร่พลวง (ใช้สิทธิคลังทัณฑ์บน) เป็นอันดับ 1 (2,653.70 ล้านบาท)

สินค้าผ่านแดนขาเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก:

  1. หอมหัวใหญ่
  2. หมากแห้ง
  3. แร่พลวง (FZ)
  4. โทรศัพท์มือถือ
  5. แผงโซลาร์เซลล์

สัดส่วนการค้าผ่านช่องทางต่างๆ (ปีงบประมาณ 2568) ข้อมูลจากด่านศุลกากรแม่สอดเผยว่า มูลค่าการนำเข้าผ่านช่องทางที่ไม่ได้รับการอนุมัติ (นอกทางอนุมัติ) มีสัดส่วนสูงถึง 68.71% ในขณะที่ช่องทางที่ได้รับการอนุมัติ (ตามทางอนุมัติ) มีเพียง 31.29%

โดยมูลค่าการนำเข้าผ่านช่องทางนอกทางอนุมัติรวม 15,357.82 ล้านบาท และผ่านช่องทางตามทางอนุมัติรวม 1,392.51 ล้านบาท (ระหว่าง ต.ค. 67 – ก.ค. 68)

สำหรับมูลค่าการส่งออกผ่านช่องทางนอกทางอนุมัติรวม 34,277.41 ล้านบาท และผ่านช่องทางตามทางอนุมัติรวม 21,206.92 ล้านบาท (ระหว่าง ต.ค. 67 – ก.ค. 68)