นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” วิเคราะห์ผลกระทบต่อไทยจากกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นเหลือเพียง 15% ภายใต้ดีลพิเศษที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกย่องว่าเป็น “ข้อตกลงการค้าดีที่สุด” เท่าที่เคยมีมากับญี่ปุ่น ซึ่งไทยอาจได้อานิสงส์จากภาคยานยนต์ แต่ต้องจับตาผลกระทบต่อสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “ข้าวไทย” ที่เสี่ยงสูญเสียโควตานำเข้าญี่ปุ่นให้แก่สหรัฐ
นายฉันทพัทธ์ กล่าวว่า ญี่ปุ่นสามารถต่อรองกับรัฐบาลทรัมป์ โดยเสนอเงื่อนไขที่ตอบโจทย์นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ได้อย่างครบถ้วน เช่น
“ญี่ปุ่นมองเกมทะลุว่า ถ้าไม่สามารถขายรถให้สหรัฐฯได้ จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมทั้งระบบ จึงยอมยื่นข้อเสนอที่ทำให้ทรัมป์พึงพอใจ แต่แท้ที่จริงแล้ว ญี่ปุ่นกลับก็ได้ประโยชน์จากภาษีในการขยายตลาดรถยนต์ในอเมริกาด้วย” นายฉันทพัทธ์กล่าว
นายฉันทพัทธ์ ชี้ว่า หากสถานการณ์เรื่องภาษียังเป็นอยู่เช่นนี้ โดยสหรัฐฯยังคงเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมที่ 50% และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ 25% จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯเองมีต้นทุนที่สูงขึ้นมาก และยากที่จะแข่งขันกับรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่นที่เสียภาษีเพียง 15% เท่านั้น
และเมื่อรถยนต์ญี่ปุ่นได้เปรียบด้านภาษีในตลาดสหรัฐฯ ก็ย่อมส่งผลเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน ห่วงโซ่อุปทานของญี่ปุ่น และยังเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยไปญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว ซึ่งดีลนี้จะช่วยให้ชิ้นส่วนยานยนต์ไทยยังเดินหน้าต่อได้ดี และอาจโตขึ้นได้อีก
ในทางกลับกัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะเปิดตลาดยกเลิกข้อจำกัดด้านมาตรฐานรถยนต์สหรัฐฯที่นำเข้าญี่ปุ่นให้ก็ตาม แต่ก็เชื่อได้ว่า ด้วยราคารถยนต์สหรัฐฯที่ปรับตัวตามต้นทุนที่สูงขึ้น ประกอบกับความนิยมใช้รถต่างชาติของชาวญี่ปุ่นที่น้อยอยู่แล้ว โดยมีเพียง 6% ของปริมาณรถทั้งหมดในญี่ปุ่น จะไม่ช่วยให้สหรัฐฯสามารถขยายการส่งออกรถยนต์มาตลาดนี้ได้แต่อย่างใด
ทูตพาณิชย์ฯ ระบุด้วยว่า ภายใต้ความตกลงล่าสุดระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นจะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ ภายใต้กรอบโควตาไม่ต้องเสียภาษีปีละ 770,000 ตัน ซึ่งเป็นโควตาเดิมตามพันธกรณีในองค์การการค้าโลก (WTO) โดยไม่มีการขยายปริมาณรวม เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศ
“แม้การจัดสรรสัดส่วนใหม่นี้อาจทำให้ไทยและออสเตรเลียมีโอกาสสูญเสียพื้นที่บางส่วนในตลาดข้าวญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีการตัดสิทธิ์การส่งออกข้าวของไทยโดยตรง และตลาดญี่ปุ่นยังมีความต้องการข้าวเฉพาะกลุ่มที่ไทยมีความสามารถในการผลิต เช่น ข้าวหอมมะลิและข้าวคุณภาพสูงอื่นๆ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์พร้อมเตรียมเสนอแนวทางการผลักดันเพื่อรักษาตลาดญี่ปุ่น ซึ่งยังเป็นหนึ่งในตลาดข้าวระดับพรีเมียมที่สำคัญที่สุดของไทย”
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาคือ นายฉันทพัทธ์ ระบุว่า ญี่ปุ่นมีแนวโน้มซื้อเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF: Sustainable Aviation Fuel) จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออก SAF จากไทย โดยเฉพาะกรณีที่ญี่ปุ่นยังไม่ลงนามในสัญญาซื้อขายกับไทย แม้จะมีแผนลงทุนร่วมกันในอนาคตแล้วก็ตาม
ขณะที่ไทยยังอยู่ระหว่างเจรจาลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยจากสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในระดับสูงถึง 36% นายฉันทพัทธ์ เปิดเผยว่า เท่าที่ติดตามดู ทีมเจรจาของไทยมีการทำงานอย่างหนัก และข้อเสนอของไทยมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่น คือเป็นข้อเสนอที่ทำให้สหรัฐรู้สึกว่าได้มากกว่าความเป็นจริง แต่ก็เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศด้วย โดยประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่
ทูตพาณิชย์กรุงโตเกียว ระบุด้วยว่า แม้ว่าขณะนี้ข้อเสนอของไทยยังอยู่ในสถานะ non-disclosure คือ ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้จนกว่าจะมีข้อตกลงชัดเจน แต่ประเมินว่าจะได้รับข่าวดี ซึ่งแม้ว่าอาจจะยากที่จะได้ดีลใกล้เคียงกับของประเทศญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นมีไพ่ในมือในการเจรจา ทั้งเป็นประเทศที่มีการลงทุนและเป็นประเทศผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯรายใหญ่ที่สุด อีกทั้ง เราเองก็อาจไม่สามารถเปิดหมดหน้าตักได้เพราะต้องคำนึงถึงผลกระทบในประเทศที่จะมีตามมาด้วย
"แต่หากได้อัตราภาษีลดลงมาอยู่ที่ 20% บวกลบ ก็น่าจะเป็นที่น่าพอใจได้ ซึ่งเราก็เจรจาในทิศทางเดียวกัน และน่าจะได้ลดภาษีแน่นอน เพียงแต่จะลดลงมาแค่ไหน ต้องติดตามผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด” นายฉันทพัทธ์ กล่าว