ในการประชุมทีมไทยแลนด์ และทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ที่บ้านพิษณุโลก เพื่อเตรียมรับมืออัตราภาษี 36% จากสหรัฐฯ มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายฯ, นายจักรภพ เพ็ญแข (อดีตโฆษกรัฐบาล) โดยมีนายทักษิณ ชินวัตร เข้าร่วมให้ข้อคิดเห็นเชิงกลยุทธ์ และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมให้ข้อมูล
ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการทบทวนผลกระทบเบื้องต้นจากที่สหรัฐได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ไทย (Reciprocal Tariff) ที่ 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แต่ยังคงเปิดให้ประเทศต่าง ๆ ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมและเจรจาได้ก่อนเส้นตาย
ทั้งนี้ ไทยได้ตีกรอบแนวทางเจรจา 3 เงื่อนไขหลัก ได้แก่
1.ตรวจสอบผลกระทบจริงต่อเกษตรกร, SMEs และอุตสาหกรรมขนาดกลาง–เล็ก เพื่อออกแบบเยียวยาให้ตรงจุด
2.เพิ่มแนวโน้มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ (เช่น LNG, ข้าวโพด, ปุ๋ย ฯลฯ) เพื่อสร้างเงื่อนไขทางการค้า
3.เจรจาให้ได้อัตราภาษีที่ไม่เสียเปรียบคู่แข่ง เช่น เวียดนาม และเข้มงวดกับการส่งผ่านสินค้าหรือ “สวมสิทธิ์”
โดยจะใช้เวลาทบทวนข้อมูลและข้อเสนอทั้งหมดจนถึงวันที่ 14 ก.ค. เพื่อเตรียมส่งชุดข้อเสนอใหม่ให้สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความกังวลของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องของไทยถึงผลกระทบที่จะตามมาอย่างมหาศาล หากไทยต้องลดภาษีสินค้านับพันรายการลงเป็น 0% ให้สหรัฐ และต้องยกเลิกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นมาตรฐานของไทยในการนำเข้าสินค้าที่สหรัฐมองว่าเป็นการกีดกันการค้า
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า โดยส่วนตัวมองว่าฉากทัศน์อัตราภาษีสุดท้ายที่ไทยจะได้รับจากสหรัฐ หลังยื่นข้อเสนอใหม่และมีเจรจาต่อรองเพิ่มเติมแล้ว มีความเป็นไปได้สูงใน 2 ฉากทัศน์ ได้แก่:
ฉากทัศน์ที่ 1 : สหรัฐยังคงเก็บภาษีไทยที่ 36% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในภาพรวมปี 2568 ให้ขยายตัวได้เพียง 5% หรือต่ำกว่า (จากช่วง 5 เดือนแรกของปี ที่การส่งออกไทยขยายตัวได้ 14.9%) และส่งผลให้จีดีพีของไทยขยายตัวเพียง 1% ถึง 1.2%
ฉากทัศน์ที่ 2 : ไทยได้รับอัตราภาษีจากสหรัฐ 20–25% ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้ยังขยายตัวได้ที่ 5–6% โดยฉากทัศน์นี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด ขณะที่โอกาสที่ไทยจะได้อัตราภาษีต่ำกว่า 20% เป็นไปได้น้อย เพราะสหรัฐจะใช้อัตราภาษีของเวียดนามที่ 20% เป็นพื้นฐาน โดยเวียดนามยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐลงเป็น 0% ทุกรายการ ถือเป็นการ “เทหมดหน้าตัก” แล้ว ขณะที่ไทยไม่ได้ลดภาษีเป็น 0% ทุกหมวดให้สหรัฐ
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ กล่าวอีกว่า เพื่อผลักดันให้สหรัฐลดภาษีนำเข้าสินค้าไทยลงได้จริง ไทยควรเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมคือ รัฐบาลไทยจะเป็นผู้ประสานให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ไปลงทุนในสหรัฐ ในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ 4–5 โครงการ มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 330,000 ล้านบาท
ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร (เช่น ถุงมือยางธรรมชาติ), อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต, พลังงานทางเลือก เช่น โซลาร์เซลล์ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
โดยไทยและสหรัฐจะได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ “win-win” สหรัฐจะได้เม็ดเงินลงทุนเพิ่มจากไทย เพิ่มการจ้างงาน เพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้าร่วมทุน และลดการขาดดุลการค้ากับไทย
ขณะที่ไทยจะได้ใช้วัตถุดิบของตัวเอง เช่น ยางพารา ส่งไปแปรรูปในสหรัฐ ทำให้ราคายางในประเทศมีเสถียรภาพ อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากฝั่งอเมริกา
“เชื่อว่าหากไทยเสนอแนวทางนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้สหรัฐลดภาษีนำเข้าให้ไทยจาก 36% ลงได้ เพราะถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน นอกเหนือจากที่ไทยจะลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐเป็น 0% หลายพันรายการ ซึ่งย่อมกระทบกับสินค้าไทย โดยเฉพาะในหมวดเกษตร เช่น ผลไม้ และปศุสัตว์ ที่สหรัฐมีศักยภาพส่งออกมาไทยได้มาก”