KEY
POINTS
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,113 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** สถานการณ์ทาง “เศรษฐกิจไทย” ทำเอาเครียดไปตามๆ กัน ต่อกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบ “เหมาเข่ง” จาก 14 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป โดยประเทศไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีสูงถึง 36% ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุด
สำหรับ 14 ประเทศที่ถูกขึ้นภาษี และอัตราที่ประกาศใช้ ประกอบด้วย ลาว, เมียนมา 40% ไทย, กัมพูชา 36%, บังกลาเทศ, เซอร์เบีย 35% , อินโดนีเซีย 32%, แอฟริกาใต้, บอสเนียฯ 30% ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, คาซัคสถาน, ตูนิเซีย 25% “ทรัมป์” ระบุถึงเหตุผลในการจัดเก็บภาษีในครั้งนี้เพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของแรงงานและอุตสาหกรรมสหรัฐ” โดยถือเป็นมาตรการตอบโต้นโยบายการค้าที่เขาระบุว่าไม่เป็นธรรมจากประเทศเหล่านี้
ขณะเดียวกัน บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า มาตรการภาษีรอบใหม่ของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ เป็นรายได้หลัก เช่น ไทย อินโดนีเซีย และ เวียดนาม ซึ่งแม้เวียดนามจะไม่อยู่ในลิสต์นี้ แต่เคยถูกจับตามองในรอบก่อนหน้านี้
*** กล่าวสำหรับ “ประเทศไทย” ปัญหาดังกล่าว จะส่งผลกระทบลุกลามไปสู่ห่วงโซ่เศรษฐกิจของประเทศในหลายมิติ 1.ความสามารถในการแข่งขันถดถอย การที่สินค้าส่งออกจากไทยต้องแบกรับภาษี 36% ทำให้ราคาปลายทางสูงกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้ผู้ประกอบการอาจเลือกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศ ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากกว่า เช่น เวียดนาม หรือ มาเลเซีย ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงานในไทยโดยตรง
กลุ่มเสี่ยงก็ประกอบไปด้วย โรงงานอุตสาหกรรมในนิคมฯ ชลบุรี, ระยอง, ปราจีนบุรี, อยุธยา, ปทุมธานี, นครราชสีมา เป็นต้นกลุ่มสินค้าเสี่ยง อิเล็กทรอนิกส์, สิ่งทอ, ชิ้นส่วนยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตรายเล็กที่รับจ้างผลิต หรือ ส่งออกผ่านเทรดเดอร์ไปสหรัฐ โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs จะได้รับผลกระทบโดยตรง ออเดอร์อาจถูกยกเลิก หรือ ต่อรองราคาทันที หากแบกรับต้นทุนคงที่ไม่ไหว เช่น ค่าเช่าโรงงาน เงินกู้ หรือค่าจ้างแรงงาน ก็เสี่ยงต่อการ “ขาดทุนต่อเนื่อง” และอาจปิดกิจการในที่สุด
*** สินค้าเกษตรแปรรูป เช่น ทูน่ากระป๋อง, น้ำผลไม้, ข้าวแปรรูป ล้วนเป็นสินค้าที่สหรัฐ นำเข้าจากไทยจำนวนมาก หากราคาสูงจนตลาดรับไม่ไหว โรงงานอาจลดกำลังผลิต ส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำ เกษตรกรขายผลผลิตได้น้อยลง หรือ ต้องลดราคาแบบขาดทุน, ข้าวหอมมะลิ ซึ่งมีตลาดหลักในสหรัฐ ก็อาจเผชิญปัญหาหนักในรอบทศวรรษ
เมื่อโรงงานลดจ้างงาน รายได้ครัวเรือนก็ลดลง ส่งผลต่อการบริโภคในท้องถิ่น ร้านค้า-ตลาดสด-โชห่วย หรือ ผู้ค้ารายย่อยที่พึ่งพาแรงงานและครอบครัวในนิคมฯ จะเผชิญยอดขายตกทันที วิกฤตจะลามไปสู่ระดับชุมชน และเกิดแรงกดดันทางการเงิน, NPL หรือ หนี้เสีย อาจพุ่งขึ้นในระดับบุคคล หากประชาชน “รัดเข็มขัด” จ่ายหนี้ไม่ไหว รายได้ลด แต่ภาระหนี้ยังคงเดิม
*** ด้านท่าทีของ “รัฐบาลไทย” ต่อการรับมือกับสหรัฐขึ้นภาษีส่งออกไทย 36% นั้น พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง ต้องเร่งเดินเกมเจรจา “เต็มสูบ” ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน โดยยืนยันว่า ไทยยังมีช่องทางเจรจา โดยอาศัยเงื่อนไขว่า ยังไม่มีข้อยุติในระดับนโยบายของสหรัฐ จึงเร่งปรับข้อเสนอใหม่ภายในวันที่ 6 ก.ค. และส่งถึงผู้แทนการค้า (USTR) แล้ว โดยไทยยอมรับข้อเสนอของสหรัฐ 90% ส่วนอีก 10% ยังคงสงวนไว้เพื่อดูแลผู้ประกอบการในประเทศ โดยเฉพาะรายย่อยและอุตสาหกรรม ที่ยังไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ “เราไม่ได้ให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข และก็ไม่ได้ให้น้อยจนสหรัฐไม่พอใจ... เราให้ในระดับที่สูง และคาดว่าจะเป็นที่ยอมรับได้”
*** ข้อเสนอของไทยครั้งนี้ มุ่งปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าเฉพาะรายการที่สำคัญ โดยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐลงในกลุ่มที่ไม่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยมากนัก และยังคงการคุ้มครองในบางรายการ เช่น สินค้าเกษตร หรือ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ซึ่งไทยอยู่ใน “กลุ่มกลาง” ที่ยังมีโอกาสต่อรอง หากสามารถสรุปข้อเสนอได้เร็วและครอบคลุม นายพิชัย ระบุด้วยว่า หากจำเป็นจะเดินทางไปเจรจาที่สหรัฐอีกครั้ง “24 ชั่วโมงพร้อมขึ้นเครื่อง” เพื่อย้ำข้อเสนอใหม่ เนื่องจากยังเชื่อว่าหากชี้แจงได้ครบถ้วน ไทยจะสามารถลดอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐให้ต่ำกว่า 36% ได้ทันก่อนเส้นตาย
*** ขณะที่ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่องกรณีที่สหรัฐเตรียมจัดเก็บภาษีไทย 36% โดบหอการค้าไทยจะขอหารือร่วมกับภาครัฐอย่างเร่งด่วน เพราะ “นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวเลขภาษีอย่างเดียว แต่อาจเกี่ยวข้องกับประเด็นการค้าระหว่างประเทศที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ ไทยต้องประเมินภาพรวมให้ครบทุกมิติ”
ทั้งนี้ หอการค้าไทยมองว่า อัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรือ อินโดนีเซีย ที่ถูกเก็บภาษีในอัตราต่ำกว่า
นายพจน์ ย้ำว่า สถานการณ์นี้ถือเป็น “เรื่องใหญ่” ที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องจับมือกัน หาทางออกให้ได้โดยเร็ว เพราะอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อภาคอุตสาหกรรมส่งออกไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และทิศทางการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในระยะยาว หากเราชะลอการแก้ปัญหา นอกจากจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจสะเทือนไปถึงการค้ากับประเทศอื่นด้วย
*** เช่นเดียวกัย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่เห็นว่า การตัดสินใจของสหรัฐ เบื้องต้นอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐ เป็นคู่ค้าหลัก เช่น อาหารแปรรูป สินค้าเกษตร ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อัญมณี เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อการส่งออกไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท
แม้ว่าข้อเสนอแรกของไทยจะถูกส่งไปเมื่อวันที่ 6 ก.ค. และมีการลงนามในเช้าวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งอาจสวนทางกับประกาศของสหรัฐที่แจ้งมา ขณะนี้ไทยได้ส่งข้อเสนอที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ หลังจากที่เราส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปนั้น ยังไม่มีการตอบกลับมา แต่เชื่อว่า หากสหรัฐ ได้พิจารณาอีกครั้งในข้อเสนอเพิ่มเติมใหม่นี้ น่าจะมีผลไปในทิศทางบวก
*** การเจรจากับสหรัฐครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “ภาษี” แต่คือ ศึกทดสอบความสามารถด้านการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลไทย เป็น “บทพิสูจน์ความไว้วางใจ” จากมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก และยังสะท้อนถึงความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ “สงครามการค้าใหม่” ที่ใช้ความเร็ว ความยืดหยุ่น และความกล้าตัดสินใจ เป็นตัวชี้ขาด หากเจรจาสำเร็จ ไทยอาจไม่เพียงแค่ “เลี่ยงภาษีสูง” แต่ยังได้สร้างความเชื่อมั่นใหม่ในเวทีโลกว่า ไทยพร้อมเป็น “หุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับสูง” ของสหรัฐอย่างแท้จริง
...ไทยยังมีเวลาเหลืออีกราว 3 สัปดาห์ก่อนถึง 1 ส.ค. 2568 ที่สหรัฐจะเก็บภาษีไทย 36% มารอดูกันว่า รัฐบาลไทยจะมี “ฝีมือ” ทำให้ถูกเก็บภาษีต่ำกว่านี้ได้หรือไม่?
คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย...ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4,113