นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,667 ราย ลดลง 832 ราย หรือ 11.09% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 7,499 ราย แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หรือเมษายน 2568 จำนวน 6,325 ราย
ขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 18,965 ล้านบาท ลดลง 2,923 ล้านบาท หรือ 13.35% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 มูลค่า 21,887 ล้านบาท
ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
ทั้งนี้ การจัดตั้งใหม่ในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 36,815 ราย ลดลง 2,217 ราย หรือ 5.68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน39,032 ราย
ขณะที่ทุนจดทะเบียน 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,927 ล้านบาท หรือ 11.89% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 มูลค่า 117,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 5 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 8 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 38,561 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวน 855 ราย ลดลง 149 ราย หรือ 14.84% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 1,004 ราย และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,150 ล้านบาท ลดลง 50,654 ล้านบาท หรือ 92.43% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ทุน 54,804 ล้านบาท
เนื่องจากเดือนพฤษภาคม 2567 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการจำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 50,477.75 ล้านบาท
สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
ทั้งนี้จากการจดทะเบียนเลิก 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 4,776 ราย เพิ่มขึ้น 153 ราย หรือ 3.31% เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 จำนวน 4,623 ราย ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 20,140 ล้านบาท ลดลง 51,704 ล้านบาท หรือ 71.97 เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 มูลค่า 71,845 ล้านบาท
แม้ภาพรวมตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จะมีจำนวนลดลง 5.68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แต่หากดูที่มูลค่าการลงทุนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 จะพบว่า เพิ่มขึ้นถึง 11.89% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงเมื่อเทียบกับปี 2567 อาทิ ธุรกิจโฮลดิ้ง การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม และการผลิตโซ่ ลวดสปริง สลักเกียว เป็นต้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด การให้คำปรึกษาด้านการจัดการ การขายส่งสินค้าทั่วไป และการขนส่งและขนถ่ายสินค้า ยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี เนื่องจากทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีแล้ว
โดยปัจจัยหนึ่งน่าจะสืบเนื่องจากนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล การขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการที่กลุ่มธุรกิจต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ของธุรกิจ เป็นต้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนชะลอตัว เช่น ก่อสร้างอาคารทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ ภัตตาคาร ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อาจสืบเนื่องมาจากผลกระทบของกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจากนโยบายการรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
รวมถึงการชะลอตัวของการซื้อของชาวต่างชาติจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้เล่นในตลาดขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ อาทิ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก มาตรการทางการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 การเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยว มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ SME และการเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับต่างประเทศจะช่วยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม และช่วยคงจำนวนและมูลค่าการ จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 ให้สามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 90,000 ราย
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,001,647 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.84 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 953,580 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.56 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็น
สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 516,498 ราย ทุนจดทะเบียน 13.05 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 311,963 ราย ทุน 2.57 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 125,119 ราย ทุน 6.95 ล้านล้านบาท