นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทย ในปี 2568 ลงเหลือ 1.7% จากคาดการณ์เดิมที่เคยประเมินไว้ล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย.67 ที่ระดับ 3%
เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญแรงกดดัน รุนแรง การเติบโตเศรษฐกิจปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่แนวโน้ม GDP สามารถผันผวนได้ในช่วง 0.9%-2.3% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
โดยมองว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ กระทบการส่งออกหนัก คาดว่าการส่งออกลดลง 1.26-1.93% ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ขณะที่สินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้การลงทุนเอกชนหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 คาดหดตัว -1.2% ใน 2568 สะท้อนความเชื่อมันที่อ่อนแอและปัญหาโครงสร้างที่ลึกซึ้ง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65.1% เท่านั้น
ขณะที่การผลิตฟื้นตัวช้ากว่าการส่งออก การบริโภคเอกชนชะลอเหลือ 2.4% จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงถึง 87.4% ต่อ GDP กดดันกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวล่าช้า นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 40.3% เทียบก่อนโควิด-19 จากปัญหาความปลอดภัยและการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ (ก.ค. 2568), ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชาและเสถียรภาพรัฐบาล ขณะที่การปรับเปลี่ยนจากโครงการแจกเงินฯ ไปสู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มี Fiscal Multiplier สูงกว่า (1.3 เท่า) แต่ประสิทธิผลขึ้นอยู่กับความสามารถในการเบิกจ่าย
ทั้งนี้ ประเมินว่าการเติบโตเศรษฐกิจปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้กรอบ 1.5-2.0% ค่ากลางที่ 1.7% ลดลงจากประมาณการเดิม 3.0% โดยอยู่ในกรณีฐานที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี (Tariff ) ในอัตรา 15-20% ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล และความตึงเครียดไทย-กัมพูชา สามารถคลี่คลายได้เร็ว งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท สามารถเบิกจ่ายได้ 50% และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งจนถึงสิ้นปี 2568 อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม GDP สามารถผันผวนได้ในช่วง 0.9%- 2.3% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
พร้อมเสนอให้รัฐเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ, เร่งรัดการเบิกจ่าย, ดูแลกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน, กระตุ้นการลงทุนเอกชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือความไม่แน่นอน
รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่าประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งนี้ เป็นการประเมินที่อยู่บนพื้นฐานความไม่แน่นอน หากการเมืองมีเสถียรภาพ และสามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ได้ถึง 70% มีโอกาสที่จีดีพีจะขยับขึ้นไปแตะ 2- 2.3%
ขณะที่มองว่าหากการเจรจากับสหรัฐไม่ทันภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน หรือวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เชื่อว่าสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะขยายเวลาออกไป
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องกรณีคลิปเสียง และมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% มองว่าอาจจะเห็นโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว จึงยังไม่ลดดอกเบี้ย ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) อย่างไรก็ตาม มองว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 1.25% .-516-สำนักข่าวไทย
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ เร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ, เร่งรัดการเบิกจ่าย. ดูแลกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน, กระตุ้นการลงทุนเอกชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือความไม่แน่นอน โดยแบ่งข้อเสนอแนะเป็น 2 ช่วง ได้แก่
ระยะเร่งด่วน (1-6 เดือน)
ระยะสั้น (6-12 เดือน)