ชาวนาระทม ราคาข้าวเปลือกดิ่ง แตะ 5,000 บาท จี้รัฐบาลเร่งจ่ายไร่ละพัน

24 มิ.ย. 2568 | 21:55 น.

ชาวนาระทม ราคาข้าวเปลือกต่ำสุดรอบ 17 ปี แตะระดับ 5,000 กว่าบาทต่อตัน จี้ครม.ใหม่เร่งเคาะเยียวยาไร่ละ 1,000-2,000 บาท หวั่นการเมืองเปลี่ยนกระทบการช่วยเหลือ ขณะโรงสีโอดขายข้าวค้างสต๊อกขาดทุน ผู้ส่งออกหืดจับตลาดเงียบ ผู้บริโภคขาดกำลังซื้อ ข้าวอินเดีย เวียดนามราคาถูกกว่าตีตลาด

ราคาข้าวเปลือกเจ้าที่ชาวนาขายได้ในเวลานี้ตํ่าสุดในรอบ 17 ปี เหลือระดับ 5,000 บาทต่อตัน เป็นอีกโจทย์ปัญหาใหญ่ที่รอรัฐบาลหลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเสร็จ จะได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การปรับตัวลงของราคาข้าวเปลือกแตะที่ระดับ 5,000 บาทต่อตันในครั้งนี้ เกิดจากหลายปัจจัย ที่สำคัญยังเป็นผลจากที่อินเดียผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกได้กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้ง หลังจากหยุดการส่งออก 1 ปี เพื่อควบคุมราคาภายในประเทศ ประกอบกับสต๊อกข้าวในประเทศไทยมีจำนวนมาก

สถานการณ์นี้ส่งผลต่อเนื่องตั้งแต่ชาวนา โรงสี ไปจนถึงผู้ส่งออกโรงสีหลายแห่งที่รับซื้อข้าวเปลือกไว้ในราคากว่า 6,000 บาทต่อตัน ต่างเจอปัญหาแบกรับต้นทุนสูง แต่กลับขายไม่ได้ หรือขายได้ในราคาตํ่า ทำขาดทุน ยิ่งซํ้าเติมตลาดให้ร่วงลงอีก

ชาวนาระทม ราคาข้าวเปลือกดิ่ง แตะ 5,000 บาท จี้รัฐบาลเร่งจ่ายไร่ละพัน

 “ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ว่าราคาจะตกต่อเนื่องแบบนี้ โรงสีเองก็ต้องซื้อไว้ก่อนและหวังขายได้ในราคาดี แต่เมื่อตลาดชะลอ ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ ราคาก็ยิ่งตํ่าลง” แหล่งข่าวในวงการข้าว ระบุ

อย่างไรก็ตามรัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้มีมติเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2568 อนุมัติมาตรการช่วยเหลือชาวนานาปรัง โดยจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการและเบิกจ่าย โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ยืนยันชัดว่าเงินช่วยเหลือจะถึงมือชาวนาแน่นอน

ขณะที่ฤดูนาปีรอบใหม่ ซึ่งเกษตรกรอยู่ระหว่างเพาะปลูก ทางคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ด้านการตลาด ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกะทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบเบื้องต้นให้ช่วยชาวนาเพิ่มเติมอีกไร่ละ 2,000 บาท ซึ่งยังต้องรอสรุปเงื่อนไข เช่น จำกัดพื้นที่ไม่เกิน 10 หรือ 20 ไร่

นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ ที่ปรึกษาสมาคมชาวนา และเกษตรกรไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย ระบุว่า ราคาข้าวที่ตกลงไม่ใช่แค่ผลพวงจากราคาข้าวในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง แต่ยังเกี่ยวพันกับต้นทุนการผลิตที่สูง ปุ๋ย สารเคมี ต่างขึ้นราคาตามอัตราเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลผลิตข้าวโดยเฉลี่ยของไทย ตํ่ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามหรือกัมพูชา ที่มีผลผลิตต่อไร่สูงกว่า และมีต้นทุนตํ่ากว่า และส่งออกได้ในปริมาณสูงกว่า

ทั้งนี้แม้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้น แต่การปรับคณะรัฐมนตรี ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจทำให้มาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือชาวนาอาจชะงักหรือถูกยกเลิก ซึ่งอาจต้องรอลุ้นนโยบายจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการวางแผนการเพาะปลูกของเกษตรกร

“ต้องเร่งผลักดันให้มีความชัดเจนและจ่ายเงินตรงถึงมือเกษตรกรโดยเร็ว เพื่อเยียวยาภาระขาดทุน และสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวนาได้มีแรงเดินหน้าต่อในอาชีพ ซึ่งนอกจากการอัดเงินช่วยเหลือระยะสั้นแล้ว รัฐควรวางแผนเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุนอย่างยั่งยืน เพื่อให้ข้าวไทยแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้นในระยะยาว”นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาข้าวเปลือกในประเทศตกตํ่าแตะที่ระดับ 5,000 บาทต่อตันในเวลานี้เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากหลายปัจจัย โดยในส่วนของการส่งออกข้าวไทยเวลานี้ขายยากขึ้น ทั้งที่ราคาข้าวไทยก็ปรับลดลงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันที่ปกติราคาข้าวไทยสูงกว่า โดยล่าสุดราคาข้าวขาว 5% ส่งออก (FOB) ของไทยอยู่ที่ 390 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน, เวียดนาม 385 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน, อินเดีย 380 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และปากีสถาน 392-395 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้แม้ราคาข้าวของแต่ละประเทศจะใกล้เคียงกัน แต่ตลาดเวลานี้ค่อนข้างเงียบ

 เป็นผลจากประเทศผู้นำเข้าขาดกำลังซื้อ ผู้นำเข้าสหรัฐเร่งนำเข้าไปตุนมากก่อนหน้านี้ก่อนนโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลบังคับใช้ ส่วนประเทศที่เคยนำเข้าข้าวมากเช่นอินโดนีเซียก็มีการลดการนำเข้าลดลงอย่างมาก จากมีผลผลิตข้าวในประเทศที่ดีในปีนี้ ส่วนตลาดแอฟริกาที่เป็นตลาดนำเข้าข้าวหลักของไทยก็ถูกอินเดียแย่งตลาดไปจากราคาข้าวถูกกว่า ปัจจัยหลัก ๆ ที่กล่าวมาจึงส่งผลต่อเนื่องถึงราคาข้าวในประเทศที่ลดลงจากซัพลายในประเทศมีมาก

“หากดูตามสถานการณ์ คาดปีนี้ไทยจะตกอันดับจากผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 รองจากอินเดีย โดยอาจหล่นไปอยู่อันดับ 3 ตามหลังเวียดนาม ทั้งปีนี้ยังต้องลุ้น หรืออาจต้องมาทบทวนคาดการณ์ส่งออกทั้งปีที่ 7.5 ล้านตันว่าจะทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่ และสถานการณ์จะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศ ตํ่าลงอีกหรือไม่ สิ่งที่เรากลัวคือมีคนมาพูดว่าผู้ส่งออกกดราคาหรือไม่ ซึ่งก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะตลาดปลายทางเราขายยากขึ้น” นายชูเกียรติ กล่าว

นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวถึงสถานการณ์ราคาข้าวสาร  ณ วันที่ 24 มิ.ย.68 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ กิโลกรัมละ 11.50 บาท เมื่อเทียบเคียงกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ราคาอยู่ที่ 10.20 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ผลข้างเคียงจากผู้ประกอบการโรงงานอาหารสัตว์มีความคาดหวังที่มีการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาในราคาที่ถูกกว่าได้ส่งผลทำให้รำข้าว และปลายข้าว ราคาตํ่าสุดในรอบ 1 ปี อยู่ที่ 8 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อคำนวณกลับไปเป็นราคาข้าวเปลือกเกี่ยวสด ทำให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาเฉลี่ยกว่า 5,000 ถึง 6,000 บาทต่อตัน

อย่างไรก็ดีมีข้อเสนอแนะรัฐบาลอาจให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นเครื่องมือบริหารจัดการข้าวแบบประเทศผู้นำเข้า อาทิ มาเลเซียคือ Padiberas Nasional Berhad (BERNAS) COFCO ของจีน หรือ บูล็อกของอินโดนีเซีย นอกจากการทำหน้าที่หลักในการนำเข้าข้าวแล้วหน่วยงานดังกล่าวยังมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพราคาและปริมาณข้าวในประเทศอีกด้วย

ด้าน นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวรอบนาปีไร่ละ 2,000 บาท จ่ายไม่เกิน 10 ไร่ หรือสูงสุดไม่เกิน 25 ไร่ ที่จะต้องมีมติเห็นชอบภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นส่วนของคณะอนุกรรมการ นบข. ด้านการตลาด เสนอให้เอง เกษตรกรไม่ได้ร้องขอ ส่วนนาปรังไร่ละ 1,000 ที่มีมติ ผ่าน นบข.ไปแล้ว ทางคณะอนุฯตลาดฯ ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มอบหมายให้คณะอนุฯผลิต ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ให้รีบเสนอให้นบข. พิจารณาโดยเร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 26 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) จะมีการประชุมครั้งที่ 2/2568 โดยมีวาระสำคัญเพื่อทราบได้แก่ การรายงานสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย,ความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิต 2567/68,ความคืบหน้าผลการดำเนินคดี โครงการข้าวตามโยบายของรัฐบาลและการเยียวยาเกษตรกรในพื้นที่รับนํ้า

และยังมีวาระเรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 (ไร่ละพัน),โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี 2568 และญัตติด่วน เรื่อง การพิจารณาแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกตํ่าและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร,นโยบายรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน และการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69