สงครามอิสราเอล-อิหร่าน เขย่าดุลการค้าไทย–เงินเฟ้อโลก ราคาน้ำมันพุ่ง

24 มิ.ย. 2568 | 06:06 น.
อัปเดตล่าสุด :24 มิ.ย. 2568 | 07:23 น.

ราคาน้ำมันดิบพุ่งจากวิกฤตตะวันออกกลาง กระทบต้นทุนพลังงาน–นำเข้าไทยโดยตรง ดุลการค้าเสี่ยงดิ่งจาก lag 3 เดือน ขณะ BoE–Fed ชะลอลดดอกเบี้ยเพราะเงินเฟ้อพลังงานยังสูง

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า รายงานว่า ราคาน้ำมันโลกเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจการค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ (net oil importer) ความผันผวนของราคาน้ำมันจึงไม่เพียงสะท้อนต้นทุนพลังงานเท่านั้น หากยังแทรกซึมสู่ทุกมิติของระบบการค้า ทั้งด้านต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ ไปจนถึงมูลค่าการนำเข้า รวมถึงดุลการค้าของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ 

ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานชี้ว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่สามารถผลิตได้ภายในประเทศเพียง 70,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 7% ส่วนอีกกว่า 93% จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ความไม่สมดุลด้านโครงสร้างพลังงานดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และมีผลต่อเสถียรภาพทางการค้าโดยตรงและต่อเนื่อง

การวิเคราะห์เชิงสถิติ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับปานกลางกับดุลการค้าของไทย โดยมีค่าสหสัมพันธ์ (correlation coefficient) เท่ากับ -0.443 ที่ระยะเวลา lag 3 เดือน ซึ่งหมายความว่า หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนก่อน ดุลการค้าในปัจจุบันมักจะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p-value < 0.01) ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของการเกินดุล หรือการขาดดุลที่ทวีความรุนแรงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่แท้จริงต่อเสถียรภาพทางการค้าของประเทศ 

ทั้งนี้ข้อมูลการนำเข้าในปี 2567 ยิ่งตอกย้ำข้อสังเกตนี้ เมื่อพบว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยคิดเป็นสัดส่วนถึง 10.6% ของมูลค่าการนำเข้ารวม ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสินค้านำเข้าหลักที่มีอิทธิพลต่อดุลการค้าโดยตรง ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงจึงเป็นแรงกดดันที่ชัดเจนต่อดุลการค้าของประเทศ

อย่างไรก็ตามแม้ผลกระทบจะไม่แสดงทันทีในเดือนเดียวกัน แต่จะสะท้อนผ่านวงจรทางธุรกิจ เช่น การทำสัญญาระหว่างประเทศ ระยะเวลาการส่งมอบสินค้า และการลงบัญชี ซึ่งมักใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนกว่าจะปรากฏในข้อมูลทางเศรษฐกิจหรือระบบบัญชีดุลการค้าของประเทศอย่างเป็นทางการ

ผลกระทบต่อตลาดโลก

ทั้งนี้ช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 โลกต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านราคาน้ำมันอีกครั้ง จากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ราคาน้ำมันดิบพุ่งแตะระดับ 74 – 77 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากเดือนก่อน 

ท่ามกลางความกังวลว่า หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งทะลุ 100 – 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อบรรเทาความตึงเครียด ด้านอุปทาน กลุ่ม OPEC+ ได้ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตอีก 400,000 บาร์เรลต่อวัน 

ขณะที่ซาอุดิอาระเบียแสดงความพร้อมเพิ่มปริมาณการผลิตเพิ่มเติม หากสถานการณ์ยังคงตึงเครียด เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและลดแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในการควบคุมเสถียรภาพด้านราคาท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

ผลกระทบต่อนโยบายการเงินโลก

ราคาน้ำมันยังเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการดำเนินนโยบายทางการเงินของหลายประเทศ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหราชอาณาจักร (BoE) ได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการประชุมช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 ว่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้เงินเฟ้อโดยรวมจะเริ่มชะลอลงจากจุดสูงสุดในปี 2566 

โดยให้เหตุผลว่า ต้องรอประเมินผลกระทบของราคาพลังงานต่อเงินเฟ้ออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากวิกฤตตะวันออกกลาง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (fed) แสดงท่าทีในทำนองเดียวกัน พร้อมระบุว่า แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยรวมจะผ่อนคลายลงในบางหมวด เช่น ที่อยู่อาศัยและอาหาร แต่ราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเบนซินยังคงมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาสูงเกินกรอบเป้าหมาย 2% ได้อีกครั้ง หากไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม

สถานการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ราคาน้ำมันไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อดุลการค้าและต้นทุนของภาคการผลิตเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ ผู้บริโภค และภาครัฐ ผ่านกลไกของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการลงทุน การกู้ยืม และการบริโภคในระบบเศรษฐกิจโดยรวม

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ทั้งนี้ ความผันผวนของราคาน้ำมัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงควรได้รับความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด ในเชิงการกำหนดนโยบายทางการค้า รวมถึงนโยบายทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะในช่วง 2–3 เดือนหลังจากที่ราคาน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจจากราคาพลังงาน จึงเป็นภารกิจร่วมของภาครัฐและภาคเอกชน ผ่านการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง (hedging instruments)

นอกจากนี้การปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานในภาคการผลิต การลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า การปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ให้ประหยัดพลังงาน และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (early warning system) ที่บูรณาการข้อมูลราคาพลังงานเข้ากับการวิเคราะห์และคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจการค้าของไทยภายใต้แรงกดดันจากตลาดพลังงานโลก จำเป็นต้องอาศัยการกำหนดนโยบายที่ยืดหยุ่น รอบคอบ และบูรณาการระหว่างภาคส่วน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและความผันผวนในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน