จากประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดขนาดหรือลักษณะของเรือประมงพื้นบ้าน และเครื่องมือทำการประมงที่ต้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน พ.ศ. 2567 ข้อ 1 กำหนดชนิดเครื่องมือประมงที่ต้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ดังต่อไปนี้ "อวนล้อมจับ" และ "อวนล้อมจับปลากะตัก" นั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีการทำการประมง และความเห็นทางวิชาการสำหรับชนิดเครื่องมือประมงที่ต้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ได้แก่ เครื่องมืออวนล้อมจับแบบมีสายมาน และเครื่องมืออวนล้อมจับปลากะตักแบบมีสายมาน จึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขชนิดเครื่องมือทำการประมงที่ต้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน
ล่าสุดกรมประมงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดขนาดหรือลักษณะของเรือประมงพื้นบ้าน และเครื่องมือทำการประมงที่ต้องขอรับใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. .... ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ถึง 27 มิถุนายน 2568 ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย เหลือระยะเวลา 5 วัน สามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างฯ ดังกล่าว โดยการกดลิงก์ข้างล่างนี้ https://www.law.go.th/listeningDetail
นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผมค้านมาตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าประมงพื้นบ้านต้องมีที่มาที่ไป แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลพยายามผลักดันให้เครื่องมือดังกล่าวนี้มาเป็นประมงพื้นบ้านให้หมดไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออะไร ซึ่งก็จะทำให้ต่อไปในอนาคตคำว่าประมงพื้นบ้านแยกแยะไม่ออกแล้ว เพียงแค่ดูขนาดเรือต่ำกว่า 10 ตันกรอสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากเป็นอย่างนี้ทางสมาคมสมาพันธ์ไม่เห็นด้วยอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ว่าควรจะแยกเครื่องมือมากกว่าขนาดเรือ
ทั้งนี้ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในอดีต เครื่องมือประมง 7 ประเภทที่ไม่ควรมาเป็นพื้นบ้าน ควรจัดอยู่ในประมงพาณิชย์ ได้แก่ อวนลากคู่, อวนลากแผ่นตะเฆ่, อวนลากคานถ่าง, อวนล้อมจับ (มีสายมาน), อวนล้อมจับปลากะตัก, คราดทุกชนิดประกอบเรือกล, และเรือประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เรือปั่นไฟ) แต่ต่อมากลายเป็นปะปนกันไปหมดแล้ว
“มองว่าจะดูแค่ขนาดเรือหากต่ำกว่า 10 ตันกรอสให้เป็นพื้นบ้านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมืออะไรก็ตาม แต่ก็ยังมีกฎหมายบังคับให้ออกไปทำนอกเขตทะเลชายฝั่ง อย่างไรก็ดีก็ยังเปิดช่องโดยคณะกรรมการประมงระดับจังหวัดสามารถเปลี่ยนมติใหม่ได้โดยลดแนวเขตในการทำการประมงใหม่ได้ ก็สามารถทำการประมงในเขต หรือใกล้เขตชายฝั่งได้อีก”
นายปิยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่มีคณะกรรมการประมงระดับจังหวัดไหนเลย ที่ขยายแนวเขตชายฝั่งออกไปเกิน 3 ไมล์ทะเลย ซึ่งเราไม่เคยรังเกียจใครเลย แต่ในเมื่อคุณมีเครื่องมือแบบนี้ก็อยากให้ออกไปเป็นประมงพาณิชย์ดีกว่า แต่จะมาอาศัยขนาดเรือต่ำกว่า 10 ตันกรอสเพื่อเป็นพื้นบ้าน ไม่เห็นด้วย และถ้าเป็นไปได้ อยากให้เครื่องมือ 7 ประเภท กลับมาเป็นประมงพาณิชย์เหมือนเดิม
เช่นเดียวกับ นายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ อดีตนายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยเนื่องจากเครื่องมือพวกนี้ทำลายล้างสัตว์น้ำตัวเล็กทุกชนิด แต่พอมารัฐบาลชุดนี้เห็นว่าก็พยายามกล่าวถึงความยั่งยืน แต่ทำไมพยายามใช้เครื่องมือประมงพาณิชย์ดันเข้ามาในระบบประมงพื้นบ้าน หรือมาอาศัยว่าเป็นอาชีพดั้งเดิม ก็ตั้งคำถามว่าดั้งเดิมอย่างไร ตรงไหน เพราะที่ผ่านมาในอดีตรัฐบาลไม่เคยอนุญาต มองก็ว่าเป็นเรื่องแปลกแล้วพยายามทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกหรือไม่
นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ที่ปรึกษาด้านการประมงพื้นบ้านและชุมชน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วย เพราะเครื่องมือมีประสิทธิภาพสูง แม้ว่าจะมีข้อห้ามเพิ่มเติมว่าห้ามทำการประมงชายฝั่ง แต่ปัญหาก็คือจะเกิดความสับสน และเมื่อส่งกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาในกลุ่มประมงพื้นบ้านแล้วจะมาแย่งสิทธิประโยชน์ในส่วนประมงพื้นบ้านตัวจริง ยกตัวอย่าง การอุดหนุนช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อย ซึ่งประมงพื้นบ้านตัวจริงก็จะไม่ได้ หรือ ที่สำคัญตามกฎหมายจะมีที่นั่งสำหรับกรรมการประมงระดับจังหวัดสัดส่วนประมงพื้นบ้านจะโดนแย่งที่นั่งไปหมดในทุกจังหวัด เพราะเงินทุนไม่มีเท่ากับกลุ่มนี้ที่จะเข้ามาทดแทน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ไม่เห็นด้วย
นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เห็นด้วย เนื่องจากขนาดเรือประมงต่ำกว่า 10 ตันกรอส เข้าลักษณะเป็นขนาดเรือประมงพื้นบ้าน ตามบทเฉพาะการ พ.ร.ก.การประมงฯ มาตรา 174 ที่ขยายถึง 15 ตันกรอสด้วยซ้ำไป แต่ถ้าจะให้ขนาดเรือตันกว่า 2 ตันกรอสมาให้อยู่ประมงพาณิชย์ก็ขัดกลับหลักการอยู่แล้ว
"ส่วนเครื่องมือตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะมีกำหนดเครื่องมือไว้ 7 ประเภท ปัจจุบันเหลือ 6 เครื่องมือ ถ้าใช้เครื่องมือประมงนี้ไม่ว่าจะเป็นเรือขนาดไหนก็จัดให้เป็นประมงพาณิชย์เลย ซึ่งมองว่าก็ไม่ใช้ เพราะมีเรือบางประเภทขนาด 5-6 ตันกรอส ก็กลายเป็นประมงพาณิชย์ไป ก็เป็นปัญหา ดังนั้นการบริหารจัดการก็ไปอยู่ในส่วนระดับจังหวัดให้ดูความเหมาะสม ถ้าเห็นชอบก็มาส่งให้กรมประมงพิจารณา ซึ่งกรมประมงก็ต้องไปสอบถามวิชาการว่าทำได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่อนุญาต"