สถานการณ์ทุเรียนภาคตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่สุดของประเทศปี 2568 ถือเป็นปีที่ภาคเกษตรกร โรงคัดบรรจุ (ล้ง) และส่งออกต้องร่วมไม้ร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น นับตั้งแต่ปลายปี 2567 สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) แจ้งเตือนการปนเปื้อนแคดเมียม มาจนถึงสาร “Basic Yellow 2” หรือ “BY2” ในทุเรียนไทย ที่สามารถฝ่าด่านหินสามารถดึงห้องปฏิบัติการในประเทศมาแก้ปัญหาจนสามารถส่งออกได้ปกติ แต่ก็ยังแพ้ภัยธรรมชาติที่ทำให้วงการทุเรียน มังคุด ต้องยอมธงขาว และยกให้เป็นปีภัยพิบัติ ทำให้หลายโรงต้องปิดตัวลงก่อนจบฤดูกาลเป็นจำนวนมาก
นายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สถานการณ์ทุเรียนภาคตะวันออกปี 2568 ในปีนี้เป็นปีภัยพิบัติดินฟ้าอากาศแปรปรวน บางช่างฝนตกมาก สภาพอากาศฟ้าปิดทำให้ทุเรียนสังเคราะห์แสงไม่ได้ เนื้อสุกไม่เสมอ ส่งไปต่างประเทศมีปัญหา มีผลทำให้ราคาปรับตัวลดลงมา เรื่อยๆ โดยทุเรียนขนาด A B และ C ราคาเฉลี่ย 80-90 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) จากในอดีตไม่ตํ่ากว่า 110 บาทต่อกก. ในบางลูกทุเรียนกินไม่ได้เพราะฉํ่านํ้า ต้องเคลมล้งให้ชดใช้ ทำให้ยอดการส่งออกน้อยลง ขณะที่ผลผลิตก็ไม่ได้มาก
เช่นเดียวกับราคามังคุด จากที่รับซื้อ 20-25 บาทต่อ กก. ในช่วงที่ผลผลิตออกมามากที่สุด แต่จากขนาดที่มีลูกเล็ก มีคุณภาพที่ไม่ค่อยดี และเป็นมังคุดที่อยู่ในช่วงฤดูฝน พอส่งไปขายต่างประเทศก็เหลือกิโลกรัมละ 14-15 บาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการปิดตัวลงไปมาก จากประสบภาวะขาดทุน เช่นเดียวกับทุเรียนก็ขายไม่ได้ราคา เพราะตัวเนื้อทุเรียนกินไม่ได้เพราะฉํ่านํ้า ส่งไปขายแล้วรับประทานไม่ได้ ต้องเคลมล้งให้ชดใช้ บางรายต้องปิดตัวลงก่อนจบฤดูกาลเช่นเดียวกับมังคุด
“เป็นปีแรกในชีวิตที่ทำธุรกิจทุเรียนมากว่า 40 ปี ไม่เคยเจอฝนฟ้าอากาศหนักแบบนี้มาก่อน ส่วนปัญหา “BY2” ไม่มีอยู่ในสวนทุเรียน แต่อยู่ที่ “กล่องรีไซเคิล” พอทุกคนรู้ปัญหาได้หันมาใช้กล่องใหม่ ปัญหาก็จบไป ทำให้ไทยสามารถส่งออกไปจีนได้ตามปกติ ถือเป็นโชคดีที่ไทยปรับตัวได้ทัน ส่วนเวียดนามที่ยังส่งออกไม่ได้ เนื่องจากมาตรฐานห้องปฏิบัติการในประเทศทางการจีนยังไม่รับรอง"
นายสัญชัย กล่าวอีกว่า จากข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อการเปิด-ปิดด่านชายแดนของทั้งสองประเทศมีข้อจำกัด ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศโดยเฉพาะการขนถ่ายสินค้าผักและผลไม้ติดขัด ส่งผลต่อคุณภาพสินค้าเสียหายถูกตีกลับ ทำให้เกษตรกรและผู้ค้าไทยเดือดร้อน ส่วนกัมพูชาก็กระทบด้านแรงงาน เพราะถ้าไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน ปัจจุบันแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในล้งทุเรียน ยังไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอยากจะกลับบ้าน เพราะแต่ละคนมองเรื่องปากท้องสำคัญกว่านโยบายของรัฐบาล
ด้านนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดน ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ยังมีความไม่แน่นอน เรื่องเวลาเปิด-ปิดด่าน ขึ้นกับเงื่อนไขแต่ละวัน เช่นให้ผลไม้บางจังหวัดผ่านได้ ส่วนใหญ่จะเกิดที่บ้านแหลม บ้านผักกาด จ.จันทบุรี และคลองหาด จ.ตราด ซึ่งในพื้นที่ก็เจรจาผ่านด้วยดี แต่ก็ช้าบ้าง
ขณะที่นายรัฐวิทย์ ตั้งเกียรติพชร นายกสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา จันทบุรี กล่าวว่าด่านบ้านแหลมซึ่งเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดจันทบุรี ปัจจุบันเปิดเฉพาะช่องคนเดินเท้า สำหรับคนไทย คนกัมพูชา และสัญชาติอื่นสามารถเดินทางเข้า-ออกได้ตามปกติ แต่ยังไม่เปิดประตูใหญ่สำหรับรถบรรทุกสินค้าเข้า-ออก ซึ่งวันนี้ที่ได้รับผลกระทบ ก็คือ “ลองกอง และมังคุด” ต้องส่งไปขายที่เวียดนาม จะใช้ด่านนี้ส่วนใหญ่ แต่โดยสรุปเดือดร้อนทั้งสองฝ่าย
“ข้อเสนอในส่วนของภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็นสภาอุตสาหกรรม หรือหอการค้าไทย รวมถึงภาคเอกชนท้องถิ่น มีความคิดเห็นตรงกันว่า ควรถอดบทเรียนกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารก็ปิดจุดนั้น ส่วนจุดที่ไม่มีปัญหาก็ให้เปิดตามปกติก็จะลดความตึงเครียด อยากให้มองเป็นเรื่องผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ และทางรัฐบาลกัมพูชา ได้ร้องขอให้เปิดปกติ เหมือนกับว่าก็ยอมในระดับหนึ่งแล้ว แล้วถ้าไทยไม่ยอมเปิดให้ทางกัมพูชาก็มีมาตรการตอบโต้”
นายรัฐวิทย์ กล่าวอีกว่า ภาคเอกชน และประชาชนที่อยู่ชายแดนยอมรับว่ามีความอึดอัดใจ ทั้งนี้ในจุดใดที่เป็นเรื่องความมั่นคงหรือปกป้องอธิปไตยก็จัดการกันไป แต่จุดใดที่ไม่เป็นประเด็นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกันอยู่ในเชิงพื้นที่ต้องให้สิทธิพื้นที่ในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะจังหวัดตราด ติดกับเกาะกง ,จันทบุรี ติดกับจังหวัดพระตะบอง และจุดผ่านแดนถาวรช่องผักกาด อ.โป่งนํ้าร้อน มีชายแดนติดกับ จ.ไพลิน เช่นเดียวกับ จ.สระแก้ว ซึ่งไม่ได้มีข้อพิพาทกันเลยก็ควรผ่อนปรน
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,106 วันที่ 19 - 21 มิถุนายน พ.ศ. 2568