ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้เห็นชอบแผนโครงการฯ จำนวน 22,309 รายการ คาดจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.24 แสนล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและตรวจสอบโดยสำนักงาน ทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (สทนช.) และ 10 หน่วยงาน รวมถึงผ่านคณะกรรมการลุ่มนํ้าเสนอความเห็นแล้ว ทั้งหมดเป็นโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ภายในช่วง 1 ปี
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นางพัชรวีร์ สุวรรณิก” รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. นับจากนี้ร่างแผนการลงทุนนํ้า ภายใต้กรอบแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอจะดำเนินงานอย่างไรต่อไปเพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าระบบ เพิ่มการจ้างงาน รวมถึงช่วยแก้ปัญหานํ้าท่วม-ภัยแล้ง และเสริมความมั่นคงด้านนํ้าอุปโภคบริโภค
“กรมชล” ของบสูงสุด 4.4 หมื่นล.
นางพัชรวีร์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ด้านหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านนํ้าและคมนาคม การท่องเที่ยว การลดผลกระทบส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ รวมถึงเศรษฐกิจชุมชน ในส่วนของโครงการด้านนํ้า
ทั้งนี้ สทนช.ได้รับผิดชอบร่วมกับ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานด้านนํ้าได้ร่วมประชุมกัน จนออกมาเป็น (ร่าง) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการนํ้าอย่างยั่งยืนเป็นกรณีเร่งด่วน และเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท จำนวน 2.2 หมื่นรายการ โดยได้นำเสนอแผนงาน /โครงการใน 5 ด้านเป็นกรณีเร่งด่วนและเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อทำให้ประชาชน และผู้ประกอบการ มีรายได้เพิ่มขึ้นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ในรายละเอียดของวงเงินดังกล่าวได้จัดสรรงบให้กับ 10 หน่วยงาน อาทิ “กรมชลประทาน” งบประมาณสูงสุด จำนวน 4,333 รายการ วงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท ช่วยประชาชน 5.4 แสนครัวเรือน มีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 3.8 ล้านไร่ รองลงมา “องค์กรปกครองท้องถิ่น” หรือ อปท.จำนวน 12,889 รายการ งบประมาณ 39,596.06 ล้านบาท ช่วยประชาชนได้กว่า 2 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่รับประโยชน์กว่า 1.3 ล้านไร่ เป็นต้น ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงระบบประปาและมีนํ้าสะอาดใช้เพิ่มขึ้น 2.4117 ล้านครัวเรือน
นอกจากนี้พื้นที่ทำการเกษตรนอกเขตชลประทานที่มีโอกาสเกิดภัยแล้ง 22.36 ล้านไร่ ยังจะได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่การเกษตรที่มีแหล่งนํ้าและระบบกระจายนํ้า 2.3 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.08 ของพื้นที่ ส่วนพื้นที่เสี่ยงนํ้าท่วมซํ้าซาก 13.25 ล้านไร่ จะได้รับการแก้ไขและบรรเทานํ้าท่วม 0.36 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 4.74 ของพื้นที่ ประโยชน์จากโครงการฯ ยังสามารถลดการชะล้างพังทลายของดินได้ 0.18 ล้านไร่ เกิดการจ้างแรงงานกระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ประมาณ 250,000 คนต่อเดือน ครัวเรือนได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านทรัพยากรนํ้า 3.374 ล้านครัวเรือน และมีมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม 124,648.42 ล้านบาท
คาดคิกออฟปลาย มิ.ย.
หลังจากนี้ในส่วนของแผนนํ้าจะนำไปรวมกับแผน 4 ด้าน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และจะเข้าไปสู่กระบวนการพิจารณาโดยคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนงาน พร้อมทำคู่ขนานกับโครงการที่ กนช.พิจารณาแล้ว ก่อนเสนอโครงการไปให้กับสำนักงบประมาณพิจารณาร่วมกันกับสภาพัฒน์ฯ,กระทรวงการคลังโดยถามความคิดเห็นจาก สทนช. เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
“ตามขั้นตอนต่างๆ นี้จะทำให้ทราบว่ามีโครงการใดบ้างที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณตามที่สำนักงบประมาณจะพิจารณาและแจ้งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ และให้เขียนใบขอรับงบประมาณคาดประมาณปลายเดือนมิถุนายนหรือต้นกรกฎาคมก็จะทราบผล ซึ่งงบลงทุนด้านนํ้าอาจจะถูกปรับลดลงเหลือ 50% จาก 1.2 แสนล้านบาทก็เป็นได้ ซึ่งต้องติดตามต่อไป” นางพัชรวีร์ กล่าวตอนท้าย
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,101 วันที่ 1 - 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568