ประเทศคู่ค้าสหรัฐได้เฮ หลังศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐได้ตัดสินว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยศาลระบุว่า ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐได้ให้อำนาจพิเศษแก่สภาคองเกรสในการควบคุมดูแลการค้ากับประเทศอื่น ๆ ซึ่งไม่ถูกลบล้างโดยอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดี แม้จะอ้างเป็นสถานการณ์เพื่อปกป้องเศรษฐกิจของสหรัฐก็ตาม
อย่างไรก็ดีคำตัดสินดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า คำสั่งขึ้นภาษีสินค้าของทรัมป์จะต้องยกเลิกในทันทีหรือไม่ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ได้เตรียมยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์กลาง และศาลสูงสุด (ศาลฏีกา) ของสหรัฐต่อไป
นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในเบื้องต้นหลังศาลตัดสินให้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ระงับการขึ้นภาษีประเทศคู่ค้าเพิ่ม ผู้ส่งออกไทย และประเทศคู่ค้าของสหรัฐทั่วโลกอาจจะได้เฮและถือเป็นข่าวดีในยกแรกนี้ เปรียบเทียบกับประเทศไทย หากศาลสั่งให้รัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็จะมีผลในทันที แต่กรณีนี้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทุกฝ่ายกำลังติดตามในรายละเอียดของคำสั่งศาลว่าเป็นอย่างไร
“คำสั่งศาลตรงนี้ยังไม่รู้ว่ามีผลในทางปฏิบัติเลยหรือไม่ ทั้งนี้คงต้องรอศาลอุทธรณ์ที่รัฐบาลทรัมป์จะไปยื่นให้พิจารณา และมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งตามขั้นตอนจากวันนี้ไปจนถึงวันที่ 8 กรกฎาคมที่การเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้าสหรัฐจะครบกำหนดการชะลอการเก็บภาษีออกไป 90 วัน (เดิมจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา) ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 40 กว่าวัน
หากศาลอุทธรณ์พิจารณาตัดสินแล้วว่ารัฐบาลทรัมป์มีอำนาจทำได้ สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอาจถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% เช่นเดิม ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับผลการเจรจาของรัฐบาลไทยกับสหรัฐด้วย”
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เห็นใจรัฐบาลไทยว่าจะไปเจรจากับสหรัฐอย่างไร เพราะทุกอย่างในส่วนของสหรัฐยังไม่มีความชัดเจน ผู้ประกอบการในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะ Wait & see จากนี้ไปทิศทางการส่งออกของไทยอยู่ในช่วงชะลอตัว จากคู่ค้าชะลอออร์เดอร์
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นข่าวดีของประเทศไทย เพราะมาตรการการเก็บภาษีของทรัมป์ หากยังเดินหน้าต่อตามที่กำหนด จะสร้างทางปั่นป่วนให้กับประเทศ รวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย เพราะว่าการขึ้นภาษีที่มีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้คือ ไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) 36% ซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่สามารถเจรจาและลดภาษีเหลือ 10%
“มาตรการภาษีของทรัมป์ที่ออกมาเป็นการทำลายกติการค้าภายใต้ WTO อาจจะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกาถดถอยได้ ฉะนั้นศาลสหรัฐฯ จึงมีการตัดสินว่านโยบายของทรัมป์ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ โดยอำนาจเรื่องของภาษี ขึ้นอยู่รัฐสภาของสหรัฐฯ”
ขณะเดียวกัน มาตรการการรับมือของไทย ก็ยังเห็นไม่ชัดเจน ประเทศไทยอาจจะอยู่ท้ายแถวในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ สมมุติสหรัฐฯกับเวียดนาม สามารถเจรจาตกลงกันและลดภาษีเหลือ 10% ขณะที่ไทยโดนเก็บภาษี 36% หรือหากเจรจาแล้วลดเหลือ 20% ก็มีความกังวล เพราะเวียดนามคือคู่แข่งทางการค้าที่สำคัญของไทย
ทั้งนี้ หากมาตรการภาษีของทรัมป์ ถูกยกเลิกจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับการส่งออกได้ อย่างไรก็ตามต้องดูสถานการณ์ว่าทรัมป์ สามารถยื่นคำอุทธรณ์สำเร็จหรือไม่ ซึ่งมุมมองคิดว่าค่อนข้างยากเนื่องจากผิดรัฐธรรมนูญ และอาจจะทำให้ทรัมป์์หลุดจากต่ำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ อีกด้วย
“เรื่องนี้ถือว่าสัญญาณที่ดี ที่ช่วยเรื่องเศรษฐกิจ การส่งออกดีขึ้น อย่างน้อยก็ลดแรงกดดัน หรืออาจจะทำให้ GDP ไทย ขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อย”
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า หลังศาลปฏิเสธข้อโต้แย้งของรัฐบาลที่ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีอำนาจในการกำหนดภาษีฝ่ายเดียว ในการออกมาตรการเก็บภาษีทั่วโลก จะมีผลให้ยกเลิกภาษีแบบครอบคลุม(ภาษีพื้นฐาน)ในอัตรา 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก แต่ไม่ครอบคลุม ภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ ที่สหรัฐขึ้นไปแล้ว ภายใต้ Section 232 และ Section 301 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้
“กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ และคดีนี้อาจไปถึงศาลฎีกาสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไป ทรัมป์อาจจะหันไปขึ้นภาษีภายใต้ Section 232 และ 301 เพื่อขยายรายการสินค้าหรือประเทศที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม แต่ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนโดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) และกระทรวงพาณิชย์ซึ่งต้องใช้เวลา และทรัมป์อาจผลักดันให้รัฐสภาออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการเก็บภาษี
ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) อาจแข็งค่าขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับการถือครองสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่ลดลง ราคาทองลดลง และเฟดอาจเฝ้าจับตาความคาดหวังเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ตลาดทุนอาจฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการค้าอาจกดดันในระยะยาว
“ผมห่วงทรัมป์ไม่ยอมเสียหน้า จะดันเกมให้ได้จริงๆ ระหว่างรอยื่นให้ศาลยับยั้งคำสั่งศาลการค้าระหว่างประเทศให้ทรัมป์เก็บภาษีต่อได้ ทรัมป์อาจออกมาตรา 122 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างจำกัดและเจาะจง ในการเก็บภาษีนำเข้าแบบชั่วคราว ไม่เกิน 15% และต้องไม่เกินระยะเวลา 150 วัน”
ดังนั้น จากนี้ไปความไม่แน่นอนยังมีสูง ดีใจได้ในระยะสั้น ซึ่งไทยยังต้องเจรจาลดการขาดดุลการค้าที่ไทยไม่เสียประโยชน์ โดยเฉพาะลดการสวมสิทธิ์จากจีน ขณะที่เรายังต้องการการลงทุนจากจีน แต่ยํ้าว่า ไม่เอาลงทุนศูนย์เหรียญ หรือที่ SME ไทยหรือผู้ประกอบการไม่ได้อะไร