จากกรณีที่มีบริษัทค้าข้าว หรือคนในวงการข้าว จะเรียกว่า “หยง” จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายส่งระหว่าง โรงสีข้าวและบริษัทส่งออกข้าว ในการซื้อขายข้าวสาร มีการเบี้ยวเงินไม่นำเงินค่าข้าวมาจ่ายให้กับโรงสี ซึ่งมีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท และผู้จัดการบริษัทหลบหนีหายตัวไปไม่สามารถตามตัวได้ จึงทำให้โรงสีหลายโรงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้กระทำผิดมาชำระค่าข้าว โดยเร็วที่สุด
นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กำลังหารือกับสมาชิกในสมาคมโรงสีฯ พร้อมกับการตั้งระบบการซื้อขายข้าวใหม่ผ่านหยง นับตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันระบบการซื้อขายข้าวสาร กล่าวคือ โรงสีขายข้าวสารให้ หยง ตามคำสั่งซื้อจากผู้ส่งออก แล้วผู้ส่งออกจะจ่ายเงินให้กับหยง เมื่อหยงได้รับก็จะส่งเงินค่าข้าวทั้งหมด แล้วจะหักค่านายหน้าที่ตกลงกันไว้ แล้วก็โอนส่งต่อให้กับโรงสี จะเป็นรูปแบบนี้มาโดยตลอด
"แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้จะให้โรงสี หักส่งค่านายหน้าให้กับหยงไปเลย ยกตัวอย่าง มูลค่าข้าว 1 ล้านบาท ในอดีต หยงจะโอนเงินให้โรงสีเป็นค่าข้าว 9.9 แสนบาท ส่วนที่เหลือจะหักเป็นค่านายหน้า เมื่อทางผู้ซื้อชำระเงินครบถ้วนแล้ว แต่ต่อไปนี้ จะนำวิธีใหม่ โดยจะให้โรงสีแต่ละโรง ให้โอนค่านายหน้าไปเลย แล้วไปเก็บเงินจากผู้ส่งออกเองโดยตรงก็คาดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้"
สอดคล้องกับนายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวถึง ระบบการค้าข้าว "หยง" มีหน้าที่เป็นตัวแทนขาย รับค่านายหน้า เป็นค่าบริการ แต่กลับให้ไปเก็บเงินจากผู้ซื้อ หรือผู้ส่งออก แล้วค่อยนำมาโอนเงินให้กับโรงสีภายหลัง ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมา เอื้อทำให้โรงสีโดนโกงได้ง่าย ผิดหลักการ
ยกตัวอย่าง ยอดขายข้าว 5 ล้านบาท ซึ่งทางหยงคิดค่าดำเนินการ 1% เป็นค่าใช้จ่าย 5 หมื่นบาท เท่านั้น แต่กลับมอบให้หยงไปเก็บเงิน 5 ล้านบาท จากผู้ส่งออก แล้วนำมาหัก 5 หมื่นบาท แล้วค่อยโอนเงินให้ 4,950,000 บาท ภายหลัง มองว่าเป็นขั้นตอนที่ผิด ก็ต้องทำความเข้าใจกับสมาชิกโรงสีข้าวฯ โดยให้ปฏิวัติระบบค้าข้าวใหม่ ให้ผู้ส่งออกซื้อข้าวโดยตรงกับโรงสี ส่วนผู้ค้าบริการที่ไปเป็นตัวแทนขายให้ เมื่อเราเก็บเงินได้แล้ว ถึงจะจ่ายค่าบริการให้ในภายหลัง
“หน้าที่หยง คือคนที่วิ่งติดต่อซื้อขายข้าว ซึ่งโรงสีเองก็คงจะไม่ทราบว่าแต่ละบริษัทส่งออกรายใดซื้อบ้าง มีการซื้อขายที่ราคาเท่าไร ก็ให้ไปหาราคาที่ดีที่สุด ส่วนผู้ส่งออกเองก็ใช้บริการหยง หลายเจ้า เพราะแต่ละเจ้าความสามารถในการหาข้าวก็แตกต่างกันในการติดต่อประสานซื้อขายข้าวกัน และในบางส่วนถ้าโรงสีกับผู้ส่งออกสามารถซื้อขายได้โดยตรงก็ทำกันไป ดังนั้นเพื่อปิดช่องไม่ให้มีการชักดาบเกิดขึ้น นับจากนี้จะต้องไปเอาใบคำสั่งซื้อมาให้โรงสี พร้อมกับเงินบัญชีจะต้องจ่ายตรงกับโรงสีเลย และเมื่อมีการชำระค่าข้าวแล้วค่อยจ่ายค่าบริการให้กับหยงในภายหลัง”
นายวิชัย กล่าวว่า กระบวนการซื้อขายข้าวผ่านหยง จะมีอีกกรณีหนึ่งก็คือ ในระยะหลัง ผู้ส่งออกจ่ายค่าข้าวช้า หยงก็อาศัยช่องว่าจะโอนเงินให้เร็วก่อน แทนที่จะหักค่านายหน้า 1% ก็กลายเป็นหักเพิ่มเป็น 1.5% เป็นการคิดดอกเบี้ยไปในตัว พอได้เงินก่อน จึงต้องทำหน้าที่ไปเก็บเงินก้อนนี้จากผู้ส่งออกข้าวให้ ซึ่งความจริงเงินที่จะช่วยโรงสีแบบนี้เพื่อช่วยสภาพคล่องให้กับโรงสีต้องเป็นการกู้ยืมกัน
“แต่ทำลักษณะนี้เป็นการบวกชาร์จในค่าบริการ ซึ่งช่องทางนี้ก็มีโรงสีบางโรงก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้บริการหยง หากหยงประสงค์ที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับโรงสี ก็ควรจะแยกคนละส่วน โดยผู้ซื้อควรจะจ่ายเงินตรงผ่านโรงสี เมื่อชำระค่าข้าวแล้ว ค่อยจ่ายเงินเป็นการบริการกับหยง ส่วนเงินต้นที่ปล่อยโรงสีกู้ให้นำไปหมุนซื้อขายข้าว เมื่อได้เงินค่าข้าวมาแล้ว ค่อยโอนกลับไปให้ภายหลัง แต่ไม่ใช่ให้หยงไปเก็บเงิน แล้วใช้สินค้าเป็นหลักค้ำประกัน จึงทำให้โอกาสชักดาบมีสูงที่จะเกิดขึ้นจากธรรมเนียมปฎิบัติในการซื้อขายและให้เครดิตความน่าเชื่อถือของหยงที่มาบริการ พอเกิดคนไม่ดีเกิดขึ้นในวงการก็ทำให้มีปัญหา ทำให้เกิดความหวาดระแวงของโรงสีกับหยงนับวันยิ่งระมัดระวังมากขึ้น”
ขณะที่ นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย และที่ปรึกษาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ยังไม่แน่ชัดเพราะว่าเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งเท่าที่ทราบก็คือ ยังตามหาตัวผู้จัดการบริษัทหยงไม่เจอแล้ว 2-3 วันแล้ว ซึ่งเรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นในวงการค้าข้าว ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นกับผู้ส่งออกเบี้ยวจ่ายค่าข้าวก็มี หรือโรงสีเบี้ยวการส่งมอบก็มี หรือยี่ปั๊วเบี้ยวการส่งมอบโรงสีก็มี ก็เคยเกิดขึ้น
"แต่ระบบการค้าข้าวผ่านหยง คือระบบการเชื่อใจ ในอดีตเพียงแค่ยกหูก็สามารถซื้อขายข้าวได้แล้ว มาตอนหลังก็ใช้ระบบใบคำสั่งซื้อ (PO) แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าใจว่าเป็นเรื่องบุคคลในการบริหาร ไม่ได้เกิดขึ้นจากระบบ และเท่าที่ทราบฝ่ายผู้ซื้อ (ส่งออก) ได้มีการจ่ายเงินให้แล้ว ซึ่งทางฝ่ายหยงเองก็ชำระเงินให้กับโรงสีจ่ายให้ครบบ้าง และไม่ครบบ้าง ซึ่งเรื่องนี้จะมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ไม่ได้ เพราะเหตุการณ์นี้โรงสีเองจะต้องระวังในการค้าขาย แต่ก็ยาก เพราะปัญหาอย่างนี้สามารถเกิดขึ้นได้"
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวทุกคนมีความเสี่ยง เนื่องจากหยง เป็นตัวละครสำคัญ และมีความจำเป็นต่อธุรกิจค้าข้าว เพราะว่าหยง เป็นคนให้ข้อมูลจากคำสั่งซื้อ รวบรวมคำสั่งซื้อจากผู้ส่งออก มีใครซื้อ-ใครขาย และที่สำคัญในปัจจุบันนี้ หยง ก็คือบุคคลที่สำรองเงินให้กับโรงสี 80% ถึง 90% ก่อน จากมูลค่าข้าว และในส่วนที่เหลือหยงก็จะไปตามเก็บกับผู้ส่งออก นี่คือระบบการค้าในปัจจุบัน แต่ในกรณีนี้ที่เกิดขึ้นแล้วยังไม่แน่ใจว่าจะกระทบกับโรงสีในวงกว้างแค่ไหน แล้วเงินกู้ เงินสำรองฝ่ายหยงเองก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบลามเป็นโดมิโนแรงแค่ไหน
"ปัจจุบันการซื้อขายใบ PO ควรจะทำให้สมบูรณ์ ทำให้มีการติดตามทวงถาม ติดตามทรัพย์ได้ เพราะเวลาหยงขายข้าวให้กับโรงสี และผู้ส่งออก 3 ฝ่าย เนื่องจากปัจจุบันสำแดงไม่ครบ เช่น อาจจะเป็นแค่หยง ผู้ขาย หรือผู้ส่งออก หรือ หยง กับโรงสี เท่านั้น ควรจะทำให้ครบ 3 ฝ่าย เป็นต้น ส่วนหยงจะได้ค่ากำเหน็ดในการทำหน้าที่ พอเกิดปัญหาแบบนี้ส่งออกก็จะบอกว่าไม่ได้ซื้อข้าวจากโรงสี ทำให้สิทธิในการทวงถามหายไป ดังนั้นควรจะทำเรื่องนี้ให้สมบูรณ์ทั้ง 3 ฝ่าย" นายเกรียงศักดิ์ กล่าวย้ำในตอนท้าย
ด้านนายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ทางผู้ส่งออก ซื้อข้าวจากหยง แต่หยงมีปัญหาออร์เดอร์ที่สั่งไปอาจจะไม่มาตรงเวลา หรืออาจจะไม่มาเลย เพราะโรงสีก็ไม่ส่งข้าวให้เพราะมีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากเป็นคนกลาง ซึ่งการใช้บริการหยง เป็นระบบความไว้เนื้อเชื่อใจกัน อย่างบริษัทเจ้านี้ที่มีปัญหาเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง ดำเนินธุรกิจมานานและเป็นบริษัทเก่าแก่ด้วย แล้วโรงสีขายข้าวผ่านบริษัท แล้วบริษัทก็นำข้าวมาขายให้กับผู้ส่งออก แล้วกรณีนี้ผู้ส่งออกได้จ่ายเงินให้กับหยงแล้ว ทำไมหยงไม่ไปคืนค่าข้าวให้กับโรงสี จะส่งผลทำให้โรงสีเดือดร้อน
“กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แล้วถ้าหยงนำเงินไปใช้ผิดประเภท หรือนำเงินไปทำอะไรที่ไม่ปกติก็จะมีปัญหา แต่ถ้าหยงดำเนินธุรกิจปกติก็ไม่น่าจะมีปัญหา” นายเจริญ กล่าวว่า