สหรัฐอเมริกาและจีนบรรลุข้อตกลงพักการเก็บภาษีศุลกากรระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน โดยทั้งสองประเทศจะลดภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน โดยจีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือเพียง 10% ขณะที่สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจาก 145% เหลือ 30%
ผลลัพธ์จากการเจรจาครั้งนี้ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เก็บจากจีน (30%) หากพ้น 90 วันแล้วไทยไม่เร่งเจรจาภาษ๊กับสหรัฐฯ ภาษีของจีนจะต่ำกว่าภาษีที่สหรัฐฯ เก็บจากไทยซึ่งอยู่ที่ 36% (ปัจจุบันเก็บ10%) สร้างความกังวลต่อสถานะการแข่งขันทางการค้าของไทย
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความเห็นว่า ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกเพียงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากนโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ผ่านมาเป็นความพยายามแก้ไขปัญหาการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การประกาศขึ้นภาษีในอัตราสูงกับเกือบทุกประเทศทั่วโลกส่งผลกระทบในแง่ลบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า จึงเป็นเหตุผลให้สหรัฐฯ ต้องการเร่งบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆ โดยเร่งด่วน โดยก่อนหน้านี้ได้เจรจากับอังกฤษ และล่าสุดคือจีน
ดร.นณริฏยังมองว่า การที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีในอัตราที่สูงมากในเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้น เป็นกลยุทธ์เพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาต่อรอง ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ภาษีอาจจะลงมาอยู่ที่ประมาณ 10%
สำหรับประเทศไทย ความกังวลอยู่ที่การที่จีนได้รับอัตราภาษีจากสหรัฐฯ เพียง 30% ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ไทยถูกเก็บที่ 36% ในขณะที่ไทยยังไม่ได้มีการเจรจากับสหรัฐฯ มากนัก ความไม่แน่นอนนี้อาจส่งผลให้นักลงทุนชะลอการตัดสินใจลงทุน รอดูสถานการณ์ว่าอัตราภาษีจะปรับเปลี่ยนอย่างไรในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าไทยควรเร่งเจรจากับสหรัฐฯ โดยเร็ว เนื่องจากประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ก่อนจะได้เปรียบในแง่ของความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
สำหรับอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯเก็บกับประเทศในอาเซียน มีอัตราดังนี้ กัมพูชา 49% ลาว 48% เวียดนาม 46% เมียนมา 44% ไทย 36% อินโดนีเซีย 32% มาเลเซีย 24% บรูไน 24% ฟิลิปปินส์ 17% สิงคโปร์ 10%