นอกจากนี้ยังประกาศจัดเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้าสูงในอัตราตั้งแต่ร้อยละ 11-50 (ไทยถูกเรียกเก็บร้อยละ 36) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ก่อนที่ต่อมา ทรัมป์ได้ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ออกไป 90 วัน เพื่อเปิดทางเจรจาการค้า ทั้งนี้หากสหรัฐมีการเก็บภาษีตอบโต้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ข้าวหอมมะลิไทย” ที่มีตลาดใหญ่สุดอยู่ที่สหรัฐ
ล่าสุดทางคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร มีความเป็นห่วงถึงผลกระทบในระยะยาว จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการข้าวทั้งระบบอย่างยั่งยืน
“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “นายชัชวาล แพทยาไทย” ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ ศึกษาข้อมูลการบริหารจัดการนํ้า ตลอดจนแผนบริหารจัดการนํ้าในอนาคต โดยเร่งผลักดันอภิมหาโปรเจ็กต์ ผันนํ้าโขง-เลย-ชี-มูล ใช้งบ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาแหล่งนํ้าสำหรับพื้นที่ปลูกข้าวในภาคอีสานได้อย่างยั่งยืน และเป็นรูปธรรม และสู้กับกำแพงภาษีทรัมป์ รวมถึงเพื่อให้ข้าวไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดอื่น ๆ ได้อย่างเข้มแข็งมากขึ้น
“ข้าวหอมมะลิ” ตกเป็นเหยื่อภาษี
นายชัชวาล กล่าวว่า ไทยส่งออกข้าวหอมมะลิไทย และข้าวในกลุ่มข้าวหอมไปสหรัฐปีหนึ่งกว่า 8.5 แสนตัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 41% ของการส่งออกในภาพรวม ซึ่งจากวิกฤตที่จะเกิดขึ้นจะสะท้อนกลับมายังชาวนา โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะถ้าราคาข้าวเปลือกตกตํ่าเมื่อไร หมายถึงความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตจะลำบาก
อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาใหญ่ที่คณะกรรมาธิการฯ ได้ระดมความคิดเห็นและได้เชิญหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง พบปัญหาหลัก คือ 1.ปัญหาต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิของชาวนาที่สูง โดยหากเป็นนาหว่านต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 4,000 บาทต่อไร่ ถ้าเป็น "นาดำ" ต้นทุนเฉลี่ย 5,000 บาทต่อไร่ ปัจจุบันชาวนานิยมทำเป็น "นาหว่าน" ซึ่งให้ผลผลิตเฉลี่ย 400 กิโลกรัม (กก.)ต่อไร่ แล้วถ้าวันใดราคาข้าวเปลือกขายสดอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน แล้วผลผลิตแค่ 400 กก.ต่อไร่ เมื่อคำนวณรายได้เท่ากับต้นทุน แต่หากบางปีผลผลิตลดลงเหลือ 250-300 กก.ต่อไร่ก็จะประสบภาวะขาดทุน ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ที่กระบวนการผลิต โดยต้องช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตต่อไร่
มีพันธุ์หลากหลายตอบโจทย์ตลาด
เรื่องที่ 2 เมล็ดพันธุ์ข้าว มีคำถามว่า กรมการข้าว มีพันธุ์ข้าวรับรองถึง 172 สายพันธุ์ แต่ทำไมชาวนาไม่ปลูก ก็เนื่องจากผลผลิตสู้ไม่ได้ และถามว่าทำไมปลูกอยู่ไม่กี่สายพันธุ์ ซึ่งในวันนั้นตัวแทนจากกรมการข้าวได้ชี้แจงและให้เหตุผลว่า พ่อแม่พันธุ์ข้าวมีจำกัด เพราะกฎหมายไม่เอื้อ ก็ต้องรีบแก้ไข ซึ่งกฎหมายนี้ก็อยู่ในความดูแลของกรมวิชาการเกษตร ก็ยอมรับว่ายังแก้ไม่ได้ เพราะเกิดกระแสต่อต้าน
“เป็นโจทย์ที่มีความท้าทาย ทำอย่างไรถึงจะมีเมล็ดพันธุ์ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้กับเกษตรกรชาวนาได้ ซึ่งจะต้องเป็นพันธุ์ที่ทนแล้ง ทนนํ้าท่วม ต้านทานโรค และให้ผลผลิตต่อไร่สูง และเป็นที่นิยมของตลาด ซึ่งที่ผ่านมาการผลิตพันธุ์ข้าวยังไม่ไม่ตอบโจทย์ตลาดและความต้องการของชาวนา แตกต่างจากประเทศคู่แข่งเช่น เวียดนาม จีน ที่มีพันธุ์ให้ผลผลิตสูง และเป็นที่นิยมของตลาดอยู่หลากหลายพันธุ์ ดังนั้นเมื่อเราเป็นตัวแทนประชาชน เมื่อเห็นปัญหาก็ต้องรีบเคลียร์ ซึ่งต่อไปคนที่เห็นต่างก็จะเรียกมาชี้แจง แต่ถ้าเห็นต่างแล้วมีผลประโยชน์แอบแฝงก็ต้องว่ากัน ซึ่งต่อไปต้องเขียนให้ชัดว่าชาวนาสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ได้ เพราะคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือชาวนา”
และเรื่องที่ 3 ที่เป็นอีกหนึ่งใหญ่คือ เรื่องนํ้า เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรทำ และต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่ได้แล้ว ได้แก่ โครงการผันนํ้าโขง-เลย-ชี- มูล ซึ่งก่อนหน้านี้ทางสำนักงานทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (สทนช.) ได้ตั้งงบไว้ที่ 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ เพราะมีโครงข่ายเชื่อมโยงหลายพื้นที่ ดังนั้น กมธ.จึงขอนำเสนอนำร่องสำหรับ “โครงการผันนํ้าลุ่มนํ้าชีสู่ลุ่มนํ้าเสียวใหญ่” ซึ่งเป็นพื้นที่ในทุ่งกุลาร้องไห้ก่อน คาดว่าจะมีประมาณ 1 ล้านไร่ ใช้งบประมาณ 1,400 ล้านบาท จะทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีนํ้าใช้ในฤดูแล้ง และจะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิต่อไร่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 400 กก.ต่อไร่ เป็น 600-700 กก.ต่อไร่ได้ และจะเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยทำให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคง
เร่งดันแจ้งเกิดรอบ 19 ปี
นายชัชวาล กล่าวอีกว่า โครงการผันนํ้า โขง-เลย- ชี-มูล ที่มีความคิดริเริ่มและมีผลการศึกษาของกรมชลประทานเมื่อ 19 ปีที่ผ่านมา จากวันนั้นถึงวันนี้เชื่อว่ามีเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาแล้วและจะกระทบสิ่งแวดล้อมน้อย โดยอาจใช้วิธีฝังท่อส่งนํ้าเพื่อให้กระทบต่อพื้นที่ชาวบ้านน้อย ซึ่งมองว่าผลการศึกษาของกรมชลประทานก็ออกมาดีมาก ซึ่งควรจะเริ่มได้แล้ว เพราะศึกษามาหลายรอบ หากรัฐบาลเห็นว่าใช้งบประมาณมากเกินไปก็ควรจะเริ่ม“โครงการผันนํ้าลุ่มนํ้าชีสู่ลุ่มนํ้าเสียวใหญ่” ก่อน
“ในพื้นที่ภาคอีสาน นํ้าบนดินแทบจะหายาก นํ้าใต้ดินเค็ม ฝนน้อย ดังนั้นถ้ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนํ้า ก็ต้องทุ่มงบลงไปในการบริหารจัดการเพื่อให้เกษตรกรมีแหล่งนํ้าใช้ตลอดทั้งปี ซึ่งไม่ว่าสหรัฐจะมีกำแพงภาษีหรือไม่ เราก็สามารถสู้ได้เพราะผลผลิตสูง และต้นทุนสามารถแข่งขันได้” นายชัชวาล กล่าว
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,094 วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568