เหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีศูนย์กลางในประเทศเมียนมา แรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบถึงประเทศไทย ไกลถึงกรุงเทพมหานคร ส่งสัญญาณเรื่องแผ่นดินไหว ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และต้องเตรียมการณ์รับมือกับอนาคตที่อาจเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้อีก
นายสนั่น อุบลกุล ประธานอาวุโส หอการค้าไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด แม้จะไม่สร้างความเสียหายในระดับมหภาคต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ส่งผลสะเทือนชัดเจนต่อความเชื่อมั่น โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในปีนี้
แม้เหตุแผ่นดินไหวจะเป็นภัยพิบัติที่คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่หากมองในเชิงโอกาส อาจทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ มีการเร่งปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร ที่พัก และสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ขณะเดียวกันการลงทุนซ่อมแซมฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในระดับท้องถิ่น อาจกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐและเอกชนในระยะสั้น ตลอดจนจะมีส่วนการผลักดันมาตรฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและปลอดภัยซึ่งอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ของไทยในระยะยาว
“ประเทศไทยแม้จะไม่ได้ตั้งอยู่บนแนวรอยเลื่อนหลักของโลกเหมือนเมียนมา ญี่ปุ่น หรืออินโดนีเซีย แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนสำคัญว่าภัยพิบัติธรรมชาติ ไม่ได้เลือกเกิดเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงดั้งเดิมเท่านั้น และความเปราะบางของเขตเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ก็ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป”
ในมุมเศรษฐกิจ แผ่นดินไหวที่รุนแรงในเขตเมืองใหญ่ ส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในตึกสูงที่อาจเผชิญความลังเลของนักลงทุน หากไม่มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน ระบบประกันภัยและต้นทุนการบริหารความเสี่ยงของภาคธุรกิจอาจเพิ่มขึ้น ต้นทุนด้านการก่อสร้างและความเข้มงวดของกฎหมายอาคาร อาจกระทบต่อแผนการลงทุนและระยะเวลาการก่อสร้าง ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติที่อ่อนไหวต่อความปลอดภัยจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องบริหารให้ดี
ทั้งนี้ไทยสามารถควบคุมระดับ “ความพร้อม” ได้ โดยหอการค้าได้มีการนำเสนอแนวทางเพื่อเรียกความเชื่อมั่นหลังแผ่นดินไหว เช่น การเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย,การตรวจสอบโครงสร้างอาคารทั่วประเทศเพื่อรับรองความปลอดภัย,จัดทำระบบเตือนภัยพิบัติและแผนบริหารความเสี่ยงโดยสนับสนุนระบบสื่อสารฉุกเฉินและอบรมเจ้าหน้าที่, ยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างและควบคุมอาคารให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เป็นต้น
ไทยควรใช้เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้น ทั้งในการยกระดับการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลความปลอดภัยของอาคารและสิ่งปลูกสร้าง โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ ปริมณฑล และ EEC การสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณชนและนักลงทุนต่างชาติอย่างโปร่งใส และต่อเนื่องผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) สถานทูตไทย และหอการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนใช้โอกาสนี้ปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร สถานที่ท่องเที่ยวและนิคมอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเน้นว่าไทยพร้อมรับมือ ไม่ใช่แค่หวังว่าไม่เกิด
นอกจากนี้ขอเสนอให้ภาครัฐและเอกชนบูรณาการความร่วมมือกันอย่างจริงจัง เช่น จัดทำรายงานการประเมินความปลอดภัยเชิงโครงสร้างในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ การเผยแพร่ข้อมูลความพร้อมในกรณีฉุกเฉินเป็นภาษาต่างประเทศ การสร้างแคมเปญ “Thailand: Resilient, Ready, Reliable” เพื่อยืนยันภาพลักษณ์ไทยว่าแม้จะมีภัยธรรมชาติ เราก็มีความพร้อมและความรับผิดชอบ
“เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ได้ส่งสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าประเทศไทยโดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่อาจมีความสามารถในการรองรับไม่เพียงพอ ระยะยาวเราต้องยกระดับระบบความปลอดภัยของประเทศ โดยพัฒนาโครงสร้างรองรับภัยพิบัติที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่การซ่อมแซมหลังเหตุการณ์ แต่คือการ “ป้องกันก่อนเกิดเหตุ” นายสนั่น กล่าวยํ้า