หอการค้าไทย เตือนแรง "มูดี้ส์" เอฟเฟกต์ เสี่ยงกระทบเชื่อมั่นนักลงทุน

30 เม.ย. 2568 | 07:26 น.
อัปเดตล่าสุด :30 เม.ย. 2568 | 08:09 น.

เอกชน เผย มูดิ้ส์ ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และตลาดการเงิน ชี้ส่วนหนึ่งมาจากภาษีทรัมป์ ยังมั่นใจเศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าได้

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า จากกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มเครดิตของประเทศไทยจากระดับ Stable เป็น Negative นั้น หอการค้าไทยฯ เห็นว่าเป็นสัญญาณที่ควรให้ความสำคัญ เนื่องจากส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังพยายามดึงดูดเงินทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แม้จะยังไม่ได้ปรับลดอันดับเครดิตโดยตรง แต่การเปลี่ยน outlook เป็น Negative ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ถึงความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังในระยะกลางและระยะยาว โดยเฉพาะประเด็นด้านวินัยการคลัง การบริหารหนี้สาธารณะ และประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ของรัฐ และส่วนหนึ่งเชื่อว่า มาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ที่กระทบหลายประเทศที่มีการส่งออกและค้าขายกับสหรัฐฯ

นายพจน์  กล่าวว่า หอการค้าไทยฯ ยังเชื่อมั่นว่า แม้ในภาวะที่ความเชื่อมั่นในบางด้านอาจลดลง ประเทศไทยยังมีเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจอื่นที่พร้อมเดินหน้าต่อ ทั้งจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐกำลังดำเนินการ รวมถึงการฟื้นตัวของการลงทุนเอกชนและต่างชาติ

ในส่วนของผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีที่อาจมีการปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า หากมีการดำเนินการตามแนวทางที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยและGDP ในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ตามหลักการค้าระหว่างประเทศแล้ว ที่เคยแจ้งว่า เป็นแบบ กาลักน้ำ สินค้ายังไงก็ต้องไหลไปที่อื่น ดังนั้นสำหรับสินค้าและตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวได้ การเร่งขยายตลาดใหม่ในประเทศที่มีศักยภาพ จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ไทยควรเร่งดำเนินการ

ทั้งนี้หอการค้าไทย มีข้อเสนอแนะ คือ การปรับตัวของภาคธุรกิจไทยให้พร้อมรับกับความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลกที่มากขึ้น รวมถึงการเร่งขับเคลื่อน การพัฒนาศักยภาพแรงงาน การเร่งนวัตกรรม ใช้ Technology ด้วย

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า  จากกรณีที่ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก Moody's Investors Service (มูดีส์) ได้ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่ "เชิงลบ" (Negative) จากเดิมที่อยู่ในระดับ "มีเสถียรภาพ" (Stable)  ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่เนื่องมาจากสงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 อีกทั้งยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจไทยที่มีการขยายตัวต่ำและฟื้นตัวช้า ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะต่ำกว่า 2% และอาจจะมีความเสี่ยงที่โตต่ำกว่านั้นได้ ถ้าหากไทยโดนเก็บภาษีจากสหรัฐสูง มันก็จะเป็นกลไกที่ทำให้เศรษฐกิจทั้งโลกมีความเสี่ยงและไทยก็เจอความเสี่ยงนั้น

“จากเดิม Moody เขามองว่าตัวเครดิตเรตติ้งของไทย อยู่ที่เกตที่น่าลงทุน มันเป็นเกตที่นิ่งอยู่กับที่ ไม่มีแนวโน้มในการปรับเปลี่ยน  แต่ตอนนี้ปัจจุบันเรามีความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจที่เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำ จึงประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่ "เชิงลบ" (Negative)”

ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่เป็นเศรษฐกิจเปิด มีมูลค่าการค้าขายระหว่างประเทศทั้งสินค้าบริการประมาณ 125% ของ GDP ดังนั้นไทยจึงหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้ ทาง Moody  มองไทยมีความเสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะตกชั้น  อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเราจะตกชั้น และไม่น่าลงทุน เพราะไทยมีความเข้มแข็งทางการคลังก็คือมีหนี้สาธารณะต่ำ เศรษฐกิจไทยก็ยังมีสัญญาณโตบวก และยังมีโอกาสที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการต่างๆ ได้ และคิดว่าสถานการณ์ดังกล่าวไม่กระทบการลงทุน

“เรื่องเกิดขึ้นคือทุกคนมองเราด้วยความสบายใจน้อยลง ฉะนั้นมันอาจจะมีผลกระทบบ้างต่อการที่จะระดมทุนออกตราสารระหว่างประเทศ อาทิ การออกพันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศอาจจะมีดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แม้ไทยอยู่ในอินเวสเมนต์เกตก็จริง แต่มีโอกาสที่จะหลุดชั้น แต่ไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรค ไทยก็ยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน ฉะนั้นก็เป็นข้อที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีมาตรการเสริมสิทธิทางเศรษฐกิจไทย