รวมทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพผลผลิตที่มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ชาวนาส่วนใหญ่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ขาดแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่อาชีพหรือสานต่ออาชีพจากบรรพบุรุษ ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่สำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงทางอาหาร และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยในระยะยาว
นอกจากนี้ “ข้าว” ยังเป็นพืชที่มีความเกี่ยวโยงกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แต่ปรากฏว่าไม่มีกลไกทางกฎหมายที่จะให้การส่งเสริม และคุ้มครอง เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เฉพาะอย่างยิ่งกลไกในกระบวนการผลิต
รวมทั้งยังไม่มีช่องทางให้ชาวนาหรือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสะท้อนความเป็นจริง และมีส่วนร่วมในการพัฒนาแนวทางเกี่ยวกับการผลิตและกระบวนการในการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการผลิต ดังนั้นจึงถึงเวลาอันควรแล้วที่จะต้องเร่งวางระบบ และกลไกต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการผลิตข้าวตลอดห่วงโซ่การผลิต และการพัฒนาอาชีพทำนา ให้มีความมั่นคงยั่งยืน มีการบูรณาการและเป็นเอกภาพ
หนุนตั้งไข่กฎหมายข้าว
นายนัยฤทธิ์ จำเล ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของสภาเกษตรกรแห่งชาติ คือ การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนา เพื่อสร้างความเข้มแข็งตามยุทธศาสตร์ชาติ มีกลไกการควบคุมการผลิตและจำหน่าย ข้าวเปลือกอย่างเป็นระบบ สร้างความเป็นธรรมระหว่างชาวนาและผู้รับซื้อ โดยมีคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าวของประเทศเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพมีความต่อเนื่องและยั่งยืน
มีการส่งเสริม กำกับ ติดตาม และพัฒนาตลอดห่วงโช่การผลิต การตลาด และการส่งออกข้าว เพื่อให้เกิดความสมดุล ให้สินค้าข้าวมีปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอต่อการบริโภค สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ตลอดจนมีระบบที่สามารถให้ความคุ้มครองชาวนาให้ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม และเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวนาสูงสุด
“ในที่ประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้มีการกำหนดแนวทางการจัดทำข้อเสนอ(ร่าง) พ.ร.บ.ข้าวและชาวนา พ.ศ. …. พร้อมกับชี้แจงสาระสำคัญของ (ร่าง) พ.ร.บ. เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลต่อไป และในที่ประชุมได้มีการเลือกประธานคณะทำงานจัดทำข้อเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ.ข้าวและชาวนา พ.ศ. …. ในสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยมีนายกิตติศักดิ์ รัตนะวราหะ ประธานเครือข่ายชาวนาไทย เป็นประธานคณะทำงาน และมีองค์กรต่าง ๆ ประกอบด้วย สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย, ศูนย์ข้าวชุมชนระดับประเทศ, แปลงใหญ่ระดับประเทศ และสภาเกษตรกรแห่งชาติ ,เครือข่ายอนาคตชาวนาไทย เป็นรองประธานคณะทำงาน”
การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นเวทีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปชาวนา ทั้งในด้านนโยบายภาครัฐ มาตรการทางกฎหมาย กฎระเบียบ และการจัดตั้งกองทุนต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการข้าวอย่างยั่งยืน และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง
จัดระเบียบค้าข้าว-ชงบำนาญหลังเกษียน
นายกิตติศักดิ์ รัตนะวราหะ ประธานคณะทำงานจัดทำข้อเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ.ข้าวและชาวนา พ.ศ. …. ในสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า กฎหมายนี้จะเป็นกฎหมายของชาวนาทั้งประเทศ จะเริ่มตั้งแต่การผลิตไปถึงการค้าขาย ซึ่งสิ่งที่พี่น้องชาวนาต้องการมากที่สุดคือ มีกฎหมายดูแล รวมทั้งองค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่คือผู้ค้า โรงสี และผู้ส่งออก จะอยู่ในกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งจะรวบรวมรายชื่อชาวนา50,000 ราย เสนอรัฐบาลต่อไป
ด้านนายระวี รุ่งเรือง นายกสมาคมการค้าเครือข่ายชาวนาไทย กล่าวว่า นับจากนี้ไปจะต้องนำกฎหมายต่างๆ ตั้งแต่ พระราชบัญญัติ ( พ.ร.บ. )กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรฯ,สภาเกษตรกรแห่งชาติ, อ้อยและนํ้าตาล และยางพาราต้องนำมาศึกษาจุดเด่นจุดด้อย เนื่องจากกฎหมายแต่ละฉบับยังไม่ตอบโจทย์ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร มีความเหลื่อมลํ้าทางสังคมสูง ดังนั้นเป็นโจทย์ท้าทายที่กฎหมายนี้จะต้องมีความสมบูรณ์และแข็งแรงในการจัดระเบียบทุกห่วงโซ่ให้มีความเป็นธรรม
ขณะที่นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า สมาคมฯพร้อมให้ความร่วมมือและเป็นกำลังสนับสนุนที่จะช่วยผลักดันกฎหมายให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับชาวนา จากอาชีพชาวนาเสี่ยงทั้งภัยแล้ง นํ้าท่วม โรคพืช และแมลง รวมทั้งความเสี่ยงเรื่องราคา ซึ่งทั้งหมดเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงจะเห็นว่าที่ผ่านมาทุกรัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณอุดหนุนชาวนามาโดยตลอด ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง และลดการอุดหนุนของรัฐบาล สิ่งสำคัญเพื่อสร้างหลักประกันในชีวิตจึงเห็นว่า อาชีพนี้ควรมีบำนาญให้ชาวนา ในอัตราเบื้องต้น 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้เป็นภาระลูกหลาน ซึ่งเป็นตามเจตนารมย์ของสมาคมอยู่แล้ว
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,089 วันที่ 20 - 23 เมษายน พ.ศ. 2568