ปี 2568 เป็นอีกหนึ่งปีที่ภาคธุรกิจไทยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศคู่ค้าหลัก รวมถึงความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายใต้นโยบายการค้าที่แข็งกร้าวของ “ทรัมป์ 2.0” ส่งผลต่อทิศทางการส่งออกของไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานอาวุโส หอการค้าไทย และประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปี 2568 เป็นอีกหนึ่งปีที่เศรษฐกิจไทยยังต้องเดินหน้า “อย่างระมัดระวัง” ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ และแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์
แต่แม้จะมีแรงต้านในหลายด้าน กลไกเศรษฐกิจไทยยังคงมีเครื่องยนต์สำคัญ ที่สามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้ต่อเนื่อง หากมีการสนับสนุนและวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมจากทั้งภาครัฐและเอกชนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วง 2.4 – 2.9% ภายใต้แรงหนุนของปัจจัยบวกหลายประการได้แก่
1.ภาคการส่งออก ประเทศไทยต้องรุกอย่างมีเป้าหมาย แม้จะต้องเผชิญกับมาตรการภาษีนำเข้าใหม่จากสหรัฐฯ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่ยังเชื่อมั่นว่าการส่งออกไทยยังมีโอกาสเติบโตได้ หากภาคเอกชนสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันเวลา โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ที่มีอยู่ และการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย เวียดนาม และซาอุดีอาระเบีย เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลักอย่างจีนและสหรัฐฯ
2.โอกาสที่ต้องคว้าไว้คือการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญของปีนี้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ดิจิทัล โลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งหอการค้าไทยได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มพื้นที่ EEC ในจังหวัดปราจีนบุรีเพื่อขยายฐานการลงทุน ซึ่งหากได้รับการสนับสนุน ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญให้กับภูมิภาคและเศรษฐกิจในภาพรวม
3. ภาคการท่องเที่ยว ยังมีแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยถึง 39-40 ล้านคน
4. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐต่อเนื่อง และมุ่งเน้นมาตรการที่เกิดผลเป็นรูปธรรมของรัฐบาล
“แม้เศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจจะไม่ได้เติบโตในอัตราสูง แต่ก็ยังสามารถรักษาทิศทางบวกไว้ได้ หากสามารถดึงพลังจากเครื่องยนต์หลักย่างการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐต้องเร่งสร้างเสถียรภาพ สื่อสารเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัว ใช้เทคโนโลยี และขยายตลาดอย่างฉับไว เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายของการลงทุน และรักษาความสามารถในการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลกต่อไป” นายสนั่น กล่าว