ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” วันนี้ (24 เม.ย.68) ราคายางพาราทุกชนิด ได้ปรับขึ้นมา 3 บาทถึง 10.3 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบจากราคาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ราคายางทุกชนิดปรับลงวันเดียว 10-12 บาทต่อกิโลกรัม ดังนี้
1.ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 (ไม่อัดก้อน) ราคา 67.60 บาทต่อกิโลกรัม (กก.)
2.ยางแผ่นดิบคุณภาพดี (ความชื้นไม่เกิน 3%) ราคา 65.60 บาทต่อกิโลกรัม
3.น้ำยางสด ราคา 57.20 บาทต่อกิโลกรัม ปรับ
4.ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) ราคาเหลือ 55.50 บาทต่อกิโลกรัม
5.ยางก้อนถ้วย (DRC 70%) ราคาปรับลงมาเหลือ 38.85 บาทต่อกิโลกรัม
นับว่าเป็นความสำเร็จของกระทรวงเกษตรฯ โดย การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ในช่วงระยะเวลา 16 วัน ได้ดำเนินการศึกษา พร้อมทั้ง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมสำหรับการรับมือกับมาตรการดังกล่าว และลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องเกษตรกรให้น้อยที่สุด โดยยึดมั่นตามแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงเกษตรฯ ที่ยึดมั่นการถวายงานและสานต่อของพระราชา
รวมกับการดูแลเกษตรกรของพระราชาให้ได้รับความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีมาตรการภาษีดังกล่าวออกมาแล้วท้ายที่สุดต้องมีคนจ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา หรือผู้ส่งออก ผู้รับซื้อในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ควรต้องเป็นพี่น้องเกษตรกรคนไทยที่เป็นคนจ่าย
“เข้าใจดีเป็นช่วงอยู่ในตลาดปรับตัว ก็ต้องทำมีการทำความเข้าใจกันทั้งผู้รับซื้อ จึงทำให้ราคากระเตื้องขึ้นมาแล้ว ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาง ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2542 ว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์ยางพาราและ ผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกาต่ออุตสาหกรรมยางไทย พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งในปี 2567 มีการส่งออกยางพาราจำนวน 3.96 ล้านตัน โดยส่งออกยางแท่งเอสทีอาร์มากที่สุด จำนวน 1.76 ล้านตัน"
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการควบคุมยาง ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2542 เป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 6- 7 ปี ก่อนหน้านั้นที่ได้มีการประชุมสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การหารือแนวทางการดูแลแก้ไขปัญหาเรื่องยางพารา และเป็นโอกาสอันดีในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคเกษตรกร
เพื่อสร้างความเข้าใจและเพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจากรายงานสถานการณ์ยางพาราไทย พบว่า ประเทศไทยของเราเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 1 ใน 3 ของโลก จึงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนครั้งนี้และเพื่อคลายความกังวลใจของพี่น้องเกษตรกร ให้ความเป็นธรรมว่า จะทำอย่างไรให้ราคายางพาราอยู่ในจุดที่เหมาะสม กระทรวงเกษตรฯในฐานะภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลเกษตรกร ถือว่าอยู่ตรงกลางระหว่างภาคเอกชนกับเกษตรกรไทย ต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน ว่าเกษตรกรจะอยู่ได้ ก็ต้องทำให้ภาคเอกชนอยู่ได้ด้วยเช่นกัน