มติรมต.การค้าอาเซียน ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์ เลือกช่องเจรจา-ตั้งทีมเกาะติด

10 เม.ย. 2568 | 04:45 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2568 | 05:20 น.

"พิชัย" ร่วมวงถก รมต.การค้าอาเซียน รับมือนโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ ยัน ไม่ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ เน้นเจราเจาเชิงสร้างสรรค์ ตั้งคณะทำงานพิเศษ ติดตามนโยบายสหรัฐฯ ใกล้ชิด

วันนี้ ( 10 เมษายน 2568 ) ที่กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดพิเศษ ผ่านระบบทางไกล กับรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และติมอร์-เลสเต โดยมีนายเตงกู ซาฟรุล เตงกู อับดุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศเป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียนในการรับมือกับนโยบายใหม่ของสหรัฐฯ 

 

นายพิชัย  นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

โดยเริ่มใช้มาตรการจัดเก็บภาษีแบบตอบโต้กับหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการลงทุนในภูมิภาค ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานโลก และการดำเนินธุรกิจของเอกชน โดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกรของ โดยที่ประชุมใช้เวลากว่า 2 ชม.

นายพิชัย กล่าวภายหลังการประชุม จากการหารือร่วมกันรัฐนตรีการค้าอาเซียน ที่ประชุมมีความกังวลต่อนโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ของของสหรัฐฯโดยเห็นว่าจะกระทบต่อการค้าระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯที่มีความสัมพันธ์อันดีมาอย่างยาวนาน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ อาเซียนได้ยืนยันจุดยืนร่วมในฐานะ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน” กับสหรัฐฯ 

 

มติรมต.การค้าอาเซียน ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์ เลือกช่องเจรจา-ตั้งทีมเกาะติด

 

นอกจากนี้พร้อมเสนอการเจรจาเชิงสร้างสรรค์ภายใต้กรอบ ASEAN-US Trade and Investment Framework Agreement (TIFA) และ Expanded Economic Engagement (E3) Workplan เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความมั่นคงทางห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค 

โดยอาเซียนจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือในสาขาศักยภาพสูง เช่น ดิจิทัล AI อาหาร พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมขั้นสูง รถยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ สุขภาพ โลจิสติกส์ รวมถึงเกษตรกรรม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้ภูมิภาค

“สมาชิกอาเซียน เห็นตรงกันว่า อาเซียนจะไม่ใช้วิธีการตอบโต้ทางภาษีกับสหรัฐฯเพราะเข้าใจถึงเหตุผลในการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า โดยเน้นแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน แต่จะใช้วิธีการเจรจาที่แตกต่างกัน โดยมี 2 รูปแบบ คือเจรจารายประเทศและเจรจาในนามกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับสหรัฐ “นายพิชัย กล่าว

 

มติรมต.การค้าอาเซียน ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์ เลือกช่องเจรจา-ตั้งทีมเกาะติด

 

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ร่วมออกแถลงการณ์ร่วม 8 ข้อ เพื่อกำหนดท่าทีต่อนโยบายทรัมป์ ได้แก่ 

  • เน้นความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหรัฐ 
  • อาเซียนมีความกังวลต่อมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐ 
  • สนับสนุนการเจรจาแบบพหุภาคี
  • อาเซียนจะร่วมมือเจรจากับสหรัฐ 
  • อาเซียนจะปกป้องผลประโยชนอาเซียนเป็นหลัก 
  • อาเซียนพร้อมร่วมมือผลักดันเศรษฐกิจกับสหรัฐ 
  • ตั้งคณะทำงานASEAN Geoeconomics Task Force ทำหน้าที่ติดตาม ประเมิน และเสนอแนะนโยบายในการรับมือและใช้ประโยชน์จากทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับ
  • อาเซียน พร้อมส่งเสริมความร่วมมือทั้งระดับรัฐและเอกชน  

กรณีที่ทรัมป์เลื่อนใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกับประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ไป 90 วัน ทำให้ทุกประเทศมีเวลาเตรียมตัวและสามารถเจรจากับสหรัฐฯ ได้  

นายพิชัย กล่าวว่า สำหรับประเทศได้นั้นตน ได้ติดต่อกับนายจามิสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ในเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน USTR ได้ตอบรับที่จะหารือกับไทยแล้วคาดว่าภายในเดือนนี้  

โดยทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างนัดหมายวันประชุม พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ไทยจะนำไปเจรจานั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐฯต้องการซึ่งอยู่ใน 5 มาตรการที่รัฐบาลได้แถลงไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้

 

มติรมต.การค้าอาเซียน ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์ เลือกช่องเจรจา-ตั้งทีมเกาะติด

 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวมในปี 2567 ราว 476,800 ล้านดอลลาร์ โดยอาเซียนส่งออกสินค้าสำคัญไปสหรัฐฯ 5 อันดับแรก คือ ยางและผลิตภัณฑ์จากยาง รองเท้า เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับเสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร

สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 5 อันดับแรก คือ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักร วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และยานยนต์ ชิ้นส่วน และเครื่องยนต์

สำหรับไทย สหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าการค้ารวมกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 74,484 ล้านดอลลาร์ ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ และนำเข้า 19,528 ล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้ากว่า 35,427 ล้านดอลลาร์