วันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เสวนาหัวข้อ “The Geat Tread war” กลยุทธ์ไทยสู้ศึกสงครามการค้าโลก จัดโดยสื่อในเครือเนชั่น ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า การเจรจาที่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีไทย รัฐบาลกับเอกชนได้มีการทำงานรวมกันเป็นเดือน ได้มีการตั้งสมมติฐานการค้าระหว่างประเทศ ที่ผ่านมาการค้าทั่วโลกที่หนักสุดคืออเมริกา ซึ่งสหรัฐมีเหตุผลที่ตั้งปรับโครงศร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และทุกประเทศทั่วโลกต้องปรับตัว เพราะสหรัฐเป็นตลาดหลักของทุกประเทศ
ทั้งนี้ ผลกระทบตัวเลขการส่งออกไทยไปสหรัฐ 20% ไทยเสียหายรวมประมาณ 1 ล้านล้านบาท หากไม่ได้มีการแก้ไขไทยคือลำบาก ไทยมีทางเลือกเดียวคือการเจรจาต้องมีการรายละเอียดดีเทลในการเจรจา ในการเสนอต้องพูดถึงทุกมิติ ประเด็นสำคัญคือ การเก็บภาษีนำเข้า ที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ 72% ซึ่งไทยอาจจะต้องมีการลดภาษีนำเข้าให้ทางสหรัฐเป็นสเต็ป
นายชนินทร์ กล่าวว่า ประเด็นสำคัญ แผนการเจรจาต้องลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดความสมดุลทางการค้าของทั้ง 2 ประเทศ โดยเฉพาะภาษีสินค้าเกษตร เพราะช่องว่างภาษีของไทยและสหรัฐห่างกันถึง 22 % ซึ่งไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐ 27 % ส่วนสหรัฐเก็บภาษีไทยเพียง 5 %
ขณะที่เราก็ต้องเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรที่สหรัฐต้องการ อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง เนื้อวัว เครื่องในวัว สินค้าอาหารทะเล สินค้าประเภทสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผัก ผลไม้ (แอปเปิ้ล เชอรี่) นมผง ซึ่งสินค้าเหล่านี้เราสามารถนำเข้าได้ เพราะบางอย่างเรายังมีความต้องการสูง เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเกษตรบางอย่างก็ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบเนื่องจากจกระทบกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเนิ้อหมูที่สหรัฐต้องการให้ไทยนำเข้า
นายชนินทร์ กล่าวว่า ทางหอการค้าไทยได้มีข้อเสนอถึงรัฐบาล 5 ข้อ
1. ต้องเปิดเจรจาการเก็บภาษีที่ไทยต้องปรับลดให้สหรัฐ และต้องปรับโครงสร้างภาษี ในข้อดีของไทยจะทำให้ต้นทุนวัตถุดิบถูกขึ้น
2. การนำเข้าวัตถุดิบต้องคุยกับทุกภาคส่วน ที่จะไม่ทำให้เกษตรกรเดือดร้อน
3. การนำเข้าเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เครื่องในวัว
4. การแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้าส่งออก ลดการนำเข้าที่ไม่จำเป็นต่อประเทศ และเพิ่มการส่งออก
5. ขอให้รัฐบาลตั้งทีมกับเอกชน ดูสถานการณ์การค้าทั่วโลก และต้องเร่งเจรจา FTA ไทย-อียู แคนาดา-อาเซียน ต้องจบภายในปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา