ผ่าภารกิจใหญ่ผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ กับเมกะโปรเจ็กต์ค้างท่อ 8.3 แสนล้าน

จากการสรรหาผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คนใหม่ หรือคนที่ 21 โดยที่ผ่านมามีเปิดรับสมัครเมื่อวันที่ 22 พ.ย.- 8 ธันวาคม 2568 ซึ่งมีผู้สมัครเพียง 2 ราย จนได้มติเห็นชอบผลการคัดเลือกแล้ว คือ ‘อนันต์ โพธิ์นิ่มแดง’ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการผู้ว่า รฟท. ซึ่งอยู่ระหว่างรอเจรจาผลตอบแทน

ทั้งนี้ภารกิจที่รอผู้บริหารสูงสุดคนใหม่เข้ามากำกับดูแลถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ รฟท. เนื่องจากต้องรับผิดชอบเมกะโปรเจ็กต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวม 8.3 แสนล้านบาท ควบคู่ไปกับการสะสางปัญหาที่ดินเรื้อรังที่กระทบต่อความมั่นคงขององค์กร

ปลดล็อกไฮสปีด-3 สนามบิน

สำหรับภารกิจแรกที่รอการสานต่อจากผู้ว่าการรถไฟคนใหม่คงหนีไม่พ้น การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอลงนาม 2 สัญญา ประกอบด้วย สัญญา 4-5 ช่วงบ้านโพ-พระแก้ว วงเงิน 10,325.90 ล้านบาท ที่ติดปัญหาปรับแบบสถานีอยุธยา

ส่วนสัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ที่รอการผลักดันให้ ครม. อนุมัติการแก้ไขสัญญาไฮสปีด 3 สนามบิน ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน

ลุยทางคู่เฟส 2

ต่อมาภารกิจที่ 2 เป็นการผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงิน 2.97 แสนล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างรอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) บรรจุเรื่องเข้าวาระในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติโครงการฯ ต่อไป

สำหรับรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ประกอบด้วย ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กม. วงเงิน 30,422 ล้านบาท, ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กม. วงเงิน 66,270ล้านบาท ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กม. วงเงิน 7,772 ล้านบาท

ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กม. วงเงิน 81,143 ล้านบาท, ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กม. วงเงิน 44,095 ล้านบาท และช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กม. วงเงิน 68,222 ล้านบาท

ปลุกพื้นที่เชิงพาณิชย์

ภารกิจที่สามเป็นการบริหารจัดการที่ดินเชิงพาณิชย์ผ่าน SRT Asset เพื่อสร้างรายได้และแก้ไขปัญหาหนี้สินสะสมกว่า 2.8 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้จากการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ผ่านบริษัทลูก การเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน และการเร่งจัดหาขบวนรถใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ทั้งนี้เป้าหมายหลักคือการเพิ่มรายได้จากการโดยสารและสินค้าให้สูงขึ้น และลดภาระหนี้สินให้ได้ และมีเป้าหมายระยะยาว เพิ่มรายได้จากการโดยสารให้เพิ่มขึ้น 4 เท่า และรายได้จากการขนส่งสินค้าให้เพิ่มขึ้น 5 เท่า เพื่อให้ รฟท. ก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการระบบรางที่ดีที่สุดในอาเซียนภายในปี 2570

ที่ผ่านมารฟท.มีแผนพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ของรฟท. บนพื้นที่ 3.8 หมื่นไร่ มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ที่โอนให้บริษัทลูกอย่าง บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) ฐานะบริษัทลูก ตั้งแต่ปี 2565 เพื่อนำที่ดินแปลงศักยภาพเปิดประมูลสร้างรายได้

โดยมีสถานีกลางบางซื่อ(สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์) ศูนย์กลางเดินทางระบบรางใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นจุดขาย ตั้งเป้าหมายดึงนักลงทุนพัฒนาเชิงพาณิชย์มิกซ์ยูส

สางปัญหาที่ดินเขากระโดง

ปิดท้ายภารกิจที่สี่ การแก้ไขปัญหาที่ดินเขากระโดง อย่างเด็ดขาดตามกรอบกฎหมายและคำวินิจฉัยของศาล เพื่อรักษาผลประโยชน์และสร้างความมั่นคงในกรรมสิทธิ์ของ รฟท. 

ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ออกโดยมิชอบทับที่ดินรฟท.จำนวน 5,083ไร่ 995แปลง

โดยที่ผ่านมารฟท.ได้มีการฟ้องร้องผู้บุกกว่า 116 แปลง ซึ่งนำร่องฟ้องคดีเขากระโดงแปลงที่ดิน 3466 กับ 8564 ที่ศาลแพ่งบุรีรัมย์ ปัจจุบันได้มีการสำรวจแผนที่รถไฟเสร็จแล้ว ซึ่งจะต้องเพิกถอนทันทีที่ร้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ 

นอกจากนี้รฟท. ได้ลงนามในหนังสือเลขที่ รฟ.อบ.1000/1792/2568 ลงวันที่ 29 กันยายน 2568 อนุมัติให้สำนักงานอาณาบาล ฟ้องเพิกถอนหรือฟ้องขับไล่ผู้ยึดถือครอบครองโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 (บริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ (1991) จํากัด เป็นผู้ครอบครอง)

และโฉนดที่ดินเลขที่ 8564 (นางกรุณา ชิดชอบ เป็นผู้ครอบครอง) บริเวณแยกเขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ตามหนังสือที่ ปช 0040 (บร)/1542 ลงวันที่ 12 กันยายน 2568

ความสำเร็จของผู้ว่าการรถไฟฯ คนใหม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการความซับซ้อนของโครงการขนาดใหญ่ การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายที่ดิน และการนำพาองค์กรเข้าสู่ยุคของการเดินรถไฟความเร็วสูงและระบบรางคู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ