KEY
POINTS
นายอนันต์ เจนงามกุล รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ร่วมกับสถาบันวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย
ขณะเดียวกันการลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงานในการดำเนินกิจกรรมด้านวิชาการ การวิจัย การวางแผนและการพัฒนามาตรฐานงานโยธาระบบรถไฟความเร็วสูง
ทั้งนี้ตลอดจนข้อกำหนดการก่อสร้างงานโยธาเพิ่มเติม จากมาตรฐานรถไฟความเร็วสูงของจีนในงานก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย เพื่อให้การดำเนินงานมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และปลอดภัยสูงสุด
นอกจากนี้ยังมุ่งส่งเสริมการใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้มากที่สุด ด้วยเทคนิคและอุปกรณ์ที่ผู้ประกอบการไทยสามารถดำเนินการได้อย่างมีคุณภาพ ตามมาตรฐานสากล
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นต้นไป (11 พฤศจิกายน 2568 จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2573) สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย (ไฮสปีดไทย-จีน ระยะที่ 2) ระยะทาง 357.12 กิโลเมตร งบประมาณลงทุน จำนวน 341,351.42 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปัจจุบันการรถไฟฯ ได้เตรียมเสนอคณะกรรมการรถไฟฯ เพื่อขออนุมัติดำเนินการ และเตรียมการประกวดราคาต่อไป
คาดว่าจะสามารถออกเอกสารประกวดราคาเพื่อหาผู้ดำเนินโครงการและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ภายในปี 2569 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2574
อย่างไรก็ดีโครงการไฮสปีดไทย-จีน เฟส2 ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ สถานีบัวใหญ่ สถานีบ้านไผ่ สถานีขอนแก่น สถานีอุดรธานี และสถานีหนองคาย ซึ่งเป็นเส้นทางต่อเนื่อง ของช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา
โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟฯ) ดำเนินการในส่วนของการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินและการก่อสร้างงานโยธาภายในกรอบวงเงิน
นอกจากนี้การลงนามในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาควิชาชีพ วิศวกรรมไทย ในการยกระดับการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงของประเทศให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล พร้อมเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตต่อไป