ดอกเบี้ยบานฉ่ำ! กทม.ปิดตำนานหนี้ BTS ร่วม 7.4 หมื่นล้านบาท

02 พ.ย. 2568 | 06:56 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ย. 2568 | 07:13 น.

“ดร.สามารถ”ชี้ กทม. ล้างหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ BTS ได้หมดเกลี้ยง รวมเงินต้น + ดอกเบี้ยกว่า 1.1 หมื่นล้าน ปิดตำนานหนี้ 74,232 ล้านบาท แต่ กทม.ยังไม่เป็นอิสระเต็มตัว

KEY

POINTS

  • กทม. ชำระหนี้ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวให้แก่ BTSC ครบถ้วนแล้ว เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 74,232 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ค้างชำระมาตั้งแต่ปี 2559
  • หนี้ก้อนดังกล่าวประกอบด้วยเงินต้น 62,451 ล้านบาท และ ดอกเบี้ยที่เกิดจากการชำระล่าช้าสูงถึง 11,781 ล้านบาท
  • แม้จะชำระหนี้หมดแล้ว แต่ กทม. ยังมีสัญญาจ้าง BTS เดินรถถึงปี 2585 อย่างไรก็ตาม หลังสัมปทานหลักสิ้นสุดในปี 2572 กทม. จะมีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าโดยสารให้ถูกลงได้

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แสดงความเห็นแสดงความเห็นในหัวข้อ “ดอกเบี้ยบานฉ่ำ! ปิดตำนานหนี้ BTS กทม.เคลียร์ครบ” ระบุว่า 

หลังจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ค้างชำระหนี้ให้ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC มาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา ในที่สุด “ตำนานหนี้รถไฟฟ้า” ก็ปิดฉากลงเมื่อ กทม.สามารถล้างหนี้ได้ครบทุกบาททุกสตางค์!

วันนี้ กทม.ล้างหนี้ BTSC ได้หมดเกลี้ยง แต่เส้นทาง “อิสรภาพทางราง” เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพราะการ “จ่ายครบ” อาจยังไม่พอ ต้อง “คิดครบ” เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

1. หนี้ 3 ก้อนใหญ่ที่จ่ายจบ

(1) ค่าขบวนรถไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ สื่อสาร และระบบตั๋ว (Electrical and Mechanical หรือ E&M) ระหว่างปี 2559 – 2567 เป็นเงิน 23,312 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 19,214 ล้านบาท และดอกเบี้ย 4,098 ล้านบาท ชำระเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567

(2) ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงรักษา (Operation and Maintenance หรือ O&M) ระหว่างเดือนเมษายน 2560 - เดือนพฤษภาคม 2564 เป็นเงิน 14,476 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 11,755 ล้านบาท และดอกเบี้ย 2,721 ล้านบาท ชำระเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567

(3) ค่า O&M ระหว่างเดือนมิถุนายน 2564 - เดือนกันยายน 2568 เป็นเงิน 36,444 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 31,482 ล้านบาท และดอกเบี้ย 4,962 ล้านบาท ชำระเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568

รวมเป็นเงินทั้งหมด 74,232 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 62,451 ล้านบาท และดอกเบี้ย 11,781 ล้านบาท
ถ้า กทม.ไม่ค้างจ่ายตั้งแต่ต้น จะสามารถประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ถึงกว่า 1 หมื่นล้านบาท น่าเสียดายสุดๆ... แค่ดอกเบี้ยก็สร้างรถไฟฟ้าได้หลายสถานี

2. หลังจ่ายหนี้ครบ... ชีวิตยังไม่อิสระเต็มตัว

สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก (ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน) ระหว่าง กทม. กับ BTSC จะสิ้นสุดลงในปี 2572 เมื่อหนี้หมด กทม.จึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายสัมปทานให้ BTSC 

แต่ กทม.ยังไม่เป็นอิสระเต็มตัว เพราะยังมีสัญญาจ้างให้ BTSC เดินรถและซ่อมบำรุงรักษาทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยาย (ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และสะพานตากสิน-บางหว้า และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-คูคต) ไปจนถึงปี 2585

กล่าวได้ว่า หลังหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 แล้ว BTSC ยังมีสิทธิ์ที่จะเดินรถต่อลากยาวไปอีก 13 ปีเต็ม
นี่คือความไม่เป็นอิสระเต็มตัว หลังปี 2572 จะเปิดประมูลใหม่ก็ไม่ได้ เพราะติดสัญญาจ้าง BTSC

3. แล้ว กทม.จะทำอย่างไร?

แม้ไม่มีอิสระเต็มตัวก็ตาม แต่ กทม.จะมีอำนาจกำหนดอัตราค่าโดยสารให้ถูกลงได้ เพื่อลดค่าครองชีพของผู้โดยสาร โดยไม่ต้องยึดตามเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานที่ได้ตกลงไว้กับ BTSC

ด้วยเหตุนี้ กทม.จึงควรกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้เหมาะสม ไม่เป็นภาระหนักของทั้งผู้โดยสาร และ ของ กทม.ที่จะต้องมีรายได้เพียงพอต่อการชำระค่าจ้าง BTSC ตลอดสัญญาจ้างถึงปี 2585

4. บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้

“การไม่ต่อสัญญาสัมปทานให้เอกชน” ช่วยให้รัฐมีอิสระในการบริหารจัดการได้มากขึ้น ไม่ต้องผูกพันกับเงื่อนไขระยะยาว และสามารถกำหนดนโยบายค่าโดยสารที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง

นี่คือ บทเรียนที่หน่วยงานรัฐอื่นควรนำไปใช้เป็นแบบอย่าง... ล้างหนี้ให้จบและอย่าสร้างหนี้ใหม่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน!

ขอฝากทิ้งท้าย... ถ้า “ไม่ค้างจ่าย” ก็ไม่ต้อง “เสียดอกบาน” ถ้า “ไม่ต่อสัมปทาน” ก็ “ลดค่าโดยสาร” ได้จริง