KEY
POINTS
จากกรณีที่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตัดสินใจล้มแผนแก้สัญญา 'ไฮสปีด 3 สนามบิน' โดยให้เหตุผลว่า ไม่เห็นด้วยประเด็น 'สร้างไปจ่ายไป' โดยจะนัดผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บ.เอเชีย เอราวัณ (ซีพี) , สำนักงานอีอีซี , รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปภายใน 4 เดือน หลังโครงการนี้ล่าช้ามากกว่า 6-7 ปี
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และประธาน กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นภายในรายการ 'ฐานทอล์ค' ว่า หลังโครงการล่าช้ากว่า '7 ปี ผ่านมา 5 รัฐบาล' ขณะนี้ถึงเวลาที่ฝ่ายบริหารต้อง “กล้าตัดสินใจ” ภายใน 4 เดือน ไม่ปล่อยให้ทุกอย่าง 'วนมึน' ต่อไป โดยล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯและรมว.คมนาคม ส่งสัญญาณ 'ค้านการแก้ไขสัญญา'” และให้ดำเนินตามสัญญาเดิม เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“มันต้องมีคนตัดสินใจว่าคุณจะไปซ้ายหรือไปขวา ทุกด้านมีข้อได้ข้อเสีย แต่ถ้าไม่ตัดสินใจ ไม่มีใครได้ประโยชน์ ประชาชนไม่ได้ใช้ เอกชนก็งึกงัก รัฐก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร” สุรเชษฐ์กล่าว
สำหรับประเด็นใหญ่ที่คัดค้าน คือข้อเสนอ เปลี่ยนงวดเงินจาก 'สร้างเสร็จค่อยจ่าย' เป็น 'สร้างไปจ่ายไป' โดยเดิมทีเอกชนต้องกู้เงินหลักแสนล้านบาทเพื่อก่อสร้างให้แล้วเสร็จ จาดนั้นเมื่อเปิดให้ใช้บริการได้จริง รัฐจึงจะทยอยจ่าย ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไปในจำนวนเท่า ๆ กัน รวม 10 งวด แต่ร่างแก้สัญญาจะให้รัฐจ่ายตั้งแต่ปีที่ 1–5 ตามความคืบหน้าก่อสร้าง
“นี่คือ แหล่งผลประโยชน์ เพราะเอกชนไม่ต้องกู้เงินมหาศาล ต้นทุนการเงินและหลักประกันลดลงมาก ใครทำธุรกิจก็อยากได้ แท่งสีแดง ที่ได้เงินก่อน…ถ้าสัญญาใหม่ไม่ดีกว่า เอกชนจะยอมเซ็นหรือ?” สุรเชษฐ์ตั้งคำถาม
อย่างไรก็ตาม แม้เอกสารฝ่ายแก้สัญญาอ้างว่าการเปลี่ยนดังกล่าวทำให้วงเงินรัฐอุดหนุนจาก 149,650 ล้านบาท เหลือ 125,932.54 กว่าล้านบาท ประหยัด ราว 24,000 ล้านบาท แต่หากจะเปลี่ยนเงื่อนไขหลักขนาดนี้ควรตั้งคำถามว่า 'ทำไมไม่เปิดประมูลใหม่' เพราะ 'อาจถึงขั้นเปลี่ยนผู้ชนะได้เลย'
สุรเชษฐ์ยังอ้างหนังสือราชการของ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ระบุว่า การแก้ไขที่เสนอเป็น 'การเปลี่ยนหลักการใหญ่' จึงต้องเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติใหม่ และใน “ข้อ 18” ระบุว่าอัยการพิจารณาเฉพาะประเด็นกฎหมาย ไม่ได้ตรวจประเด็นทางเทคนิคและการเงิน ซึ่งเวลาจะเอื้อผลประโยชน์กัน มักใช้ เทคนิคทางการเงินจากการปรับงวดเงิน
“เปลี่ยนจากสร้างเสร็จค่อยจ่ายเป็นสร้างไปจ่ายไปผลประโยชน์หลายพันล้านซ่อนอยู่ในนี้” สุรเชษฐ์กล่าวย้ำ
นอกจากนี้หากมองในมุมเอกชนที่ต้องการแก้ไขสัญญา อาจเกิดข้อกังวลเรื่องประวัติการจ่ายเงินล่าช้าของรัฐ โดยเฉพาะ รฟท. สุรเชษฐ์ตอบว่า หากกังวลเงื่อนไขตั้งแต่แรกก็ไม่ควรมาประมูล และในทางสัญญา เอกชนมีสิทธิฟ้องเรียกดอกเบี้ย/ค่าเสียหาย (ค่าโง่) ได้อยู่ดี พร้อมย้ำว่าขณะนี้ประมูลไปแล้ว ได้ผู้ชนะแล้ว เงื่อนไขชัดเจนแล้ว จึงควรเดินตามสัญญา
อย่างไรก็ตาม 'สุรเชษฐ์' ไม่ได้เรียกร้องให้ยกเลิกสัญญา เพราะผู้ที่แจ้งยกเลิกก่อนต้องรับผิดตามสัญญา แต่ย้ำว่ารัฐ ต้องตัดสินใจให้ชัด และ อย่ากลับลำ เหมือนในรัฐบาลก่อนที่จาก 'ไม่เลื่อน–ไม่แก้' กลายเป็น 'เลื่อนเพื่อแก้' จนเกิดมรดกบาปมาถึงปัจจุบัน พร้อมเตือนว่าหากการแก้สัญญาสำเร็จ 'ประเทศอันตรายมาก' เพราะจะกลายเป็นแบบอย่างว่าประมูลให้ได้ก่อนแล้วค่อย make a deal ขอผลประโยชน์เพิ่มทีหลัง ซึ่งประชาชนเสียประโยชน์เต็ม ๆ
ทางออกเชิงประชาชนทันที สุรเชษฐ์เสนอให้เร่งใช้ รถไฟทางคู่ทางขนาด 1 เมตร ที่ วิ่งถึงศรีราชาแล้ว และเตรียมขยายไป ระยอง–จันทบุรี–ตราด โดย
ทั้งนี้ สุรเชษฐ์ระบุว่าปัจจุบัน ทางคู่ที่กล่าวถึงมีผู้ใช้เพียงวันละ 1 เที่ยว จึงต้องวางระบบขนส่งสาธารณะเชื่อมต่อสถานีเพื่อสร้างฐานผู้ใช้ให้มากพอ ก่อนพิจารณาการลงทุนเพิ่มในอนาคต
ในช่วงสัปดาห์หน้า มีกำหนด เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ EEC, รฟท., กระทรวงคมนาคม, BOI และ เอกชน เพื่อตัดสินอนาคตโครงการ โดยสุรเชษฐ์ขอให้สังคม จับตาว่า รมว.คมนาคมจะยืนจุดเดิม ที่ 'ไม่เลื่อน–ไม่แก้' และดำเนินตามสัญญาเดิมจริงหรือไม่
“ระหว่างรัฐกับเอกชนไปถกกันเรื่องใครผิด–ลงโทษกันอย่างไร อย่าให้ประชาชนเสียประโยชน์…หา ‘ขบวนดี ๆ’ มาวิ่งบนทางคู่ที่มีอยู่ให้บริการทันที สร้างฐานผู้ใช้ไว้ก่อน เมื่อมากพอค่อยพิจารณาอีกคู่หนึ่งในอนาคต” สุรเชษฐ์ทิ้งท้าย
สุรเชษฐ์ยังสะท้อนกรอบเวลาโดยย้ำว่า หากนับช่วงจัดตั้งรัฐบาลใหม่รวม อาจยืดเป็นราว 9 เดือน แต่สาระสำคัญคือต้อง 'เคาะ' ภายใน 4 เดือนนี้ เพื่อไม่ให้โครงการยืดเยื้อจนประชาชนเสียโอกาสอีกต่อไป.